ท้องผูกทําไงดี อาหารแก้ท้องผูก มีอะไรบ้าง ใครกำลังทุกข์ทรมานกับโรคฮิตที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันแบบนี้ มาดูวิธีแก้ท้องผูกกันเลย
เมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้นมาในตอนเช้า หนุ่มสาวออฟฟิศก็ต้องรีบลุกขึ้นมาจากที่นอน อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แล้วก็รีบบึ่งออกจากบ้าน กว่าจะฝ่าดงรถติด กว่าจะได้ทานอะไรรองท้องในตอนเช้า ก็ถึงเวลาเข้างานพอดี เป็นอย่างนี้ตลอด 5 วันทำงาน อ้าว ! แล้วเอาเวลาไหนไปเข้าห้องน้ำขับถ่ายอุจจาระล่ะเนี่ย ถึงว่าล่ะคนสมัยนี้ถึงท้องผูกกันบ่อยจัง
เมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้นมาในตอนเช้า หนุ่มสาวออฟฟิศก็ต้องรีบลุกขึ้นมาจากที่นอน อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แล้วก็รีบบึ่งออกจากบ้าน กว่าจะฝ่าดงรถติด กว่าจะได้ทานอะไรรองท้องในตอนเช้า ก็ถึงเวลาเข้างานพอดี เป็นอย่างนี้ตลอด 5 วันทำงาน อ้าว ! แล้วเอาเวลาไหนไปเข้าห้องน้ำขับถ่ายอุจจาระล่ะเนี่ย ถึงว่าล่ะคนสมัยนี้ถึงท้องผูกกันบ่อยจัง
อย่างที่รู้ ๆ กันว่า ปกติแล้วเราจะรู้สึกปวดท้องถ่ายในช่วงเช้าเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะช่วงเวลา
05.00-07.00 น. ที่ลำไส้ใหญ่ทำงาน
ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่เราถ่ายอุจจาระได้ง่ายที่สุด
แต่ถ้าใครพลาดนาทีทองไปละก็ อุจจาระเหล่านั้นก็จะถูกดูดน้ำกลับ ทำให้มีสภาพแข็ง
ขับถ่ายได้ลำบาก หากยิ่งปล่อยไว้นาน ๆ ไม่ยอมถ่ายออก นอกจากจะรู้สึกอึดอัด
อ่อนแรง หงุดหงิดง่ายแล้ว มีโอกาสเป็นริดสีดวงได้อย่างแน่นอน
ก่อนจะถึงขั้นนั้น ต้องปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อพิชิตอาการท้องผูกกันแล้ว !!!
ก่อนจะถึงขั้นนั้น ต้องปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อพิชิตอาการท้องผูกกันแล้ว !!!
แบบไหนถึงเรียกว่า "ท้องผูก"
ท้องผูก เกิดจากอะไร ?
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกมีมากมาย อาจจำแนกออกเป็น 3 อย่าง คือ
1. เกิดจากพฤติกรรมแบบผิด ๆ
การปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันแบบผิด ๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ท้องผูก เริ่มตั้งแต่เรื่อง "กิน" ที่หลายคนไม่ชอบทานผัก-ผลไม้ ชอบทานแต่เนื้อสัตว์ ไขมัน หรือแป้งมากเกินไป โดยเฉพาะแป้งจำพวกข้าวสาลีที่ผ่านกระบวนการแปรรูป จะยิ่งย่อยยาก กินแล้วทำให้ท้องอืด ท้องผูก หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมทั้งยังเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย วัน ๆ นั่งทำงานอยู่กับที่ แทบไม่ได้ขยับตัวไปไหน ก็ทำให้ลำไส้บีบตัวน้อย ส่งผลให้อาการท้องผูกมาเคาะประตูบ้านอยู่ทุกเมื่อ
และนอกจากเรื่อง "กิน" แล้ว ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เราท้องผูกได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเคร่งเครียดในชีวิตประจำวัน การนั่งรถนาน การเดินทางไกล ใช้ที่สวนทวารบ่อยครั้ง ฯลฯ
รู้ไหมว่า "ยา" บางชนิดที่เราทานเข้าไปรักษาโรคบางอย่าง อาจส่งผลข้างเคียงให้เกิดอาการท้องผูกได้ เช่น ยาคลายเครียด ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาแก้ความดันสูง ยาลดกรด รวมทั้งอาหารเสริมจำพวกธาตุเหล็ก และยาแก้ปวดที่มีสารประกอบโคเดอีน (codeine) ทำให้การย่อยอาหารช้าลง มีผลให้เกิดอาการท้องผูก
3. มีโรคประจำตัว
อาการท้องผูกอาจเป็นอาการหนึ่งของโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ เช่น โรคเบาหวาน หรือมีก้อนเนื้องอก มีมะเร็งอุดกั้นลำไส้ จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกถ่ายอุจจาระลำบาก กระทั่งท้องผูกได้เหมือนกัน
ท้องผูกทําไงดี แก้ง่าย ๆ แค่เปลี่ยนพฤติกรรม
เมื่อสาเหตุหลัก ๆ ของอาการท้องผูกเกิดจากพฤติกรรมของผู้นั้น การจะแก้ปัญหาก็ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ดังนี้
1. ทานอาหารที่มีกากใยมาก ๆ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ถั่ว ฟักทอง ลูกพรุน ข้าวโพด แอปเปิล ฝรั่ง มะละกอ เป็นต้น เพื่อจะช่วยเพิ่มเส้นใยการขับถ่าย โดยอาหารที่มีกากมากจะต้านทานการย่อยของน้ำย่อยที่จะไปดูดน้ำภายในลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ลำไส้บีบตัวขับถ่ายอุจจาระได้รวดเร็ว แนะนำให้ทานใยอาหาร 20-30 กรัมต่อวัน
2. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว และทำงานได้ดีขึ้น เมื่ออวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น ก็จะไปส่งผลให้ลำไส้ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นตามไปด้วย ทำให้อาหารส่งผ่านไปได้สะดวก หากนั่งนิ่งอยู่เฉย ๆ ลำไส้ไม่ได้เคลื่อนไหว กากอาหารเหล่านั้นก็จะยิ่งแข็งค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้ง่าย ทั้งนี้ หากไม่มีเวลามาก แนะนำให้เดินออกกำลังกายสัก 20-30 นาทีก็พอจะช่วยให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหวแล้ว
3. หากรู้สึกปวดอุจจาระให้เข้าห้องน้ำทันที อย่ากลั้นไว้ เพราะยิ่งรอนาน ยิ่งเพิ่มอาการท้องผูก
4. ฝึกเข้าห้องน้ำขับถ่ายทุกเช้าให้เป็นกิจวัตร โดยควรนั่งถ่ายอย่างผ่อนคลายประมาณ 10 นาที ไม่ควรเร่งรีบเกินไป
5. ดื่มน้ำให้มาก ๆ เราคงเคยได้ยินคนแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องอื่น ๆ แล้ว การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว ยังช่วยไม่ให้ท้องผูกด้วย เพราะน้ำจะไปช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลงได้
6. งดดื่มน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารที่ทำให้ลำไส้บีบตัวน้อยลง แต่จะไปกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้อาการท้องผูกตามมา
7. ยาระบาย หรือยาถ่าย สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะไม่ได้ช่วยรักษาอาการท้องผูกให้หายขาด แต่กลับยิ่งทำให้ร่างกายไม่ถูกกระตุ้นให้ขับถ่ายตามเวลาที่ควรจะเป็น เพราะลำไส้จะชินต่อยากระตุ้นพวกนี้ หากมีอาการท้องผูกขึ้นมาอีกก็ต้องใช้ยาแรงขึ้นเรื่อย ๆ
8. พยายามลดความเครียดลง ทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใส
อาหารแก้ท้องผูก มีอะไรที่ได้ผล !
มะขามเปียก นำมาขยำกับน้ำสุกประมาณ 3 แก้ว จะได้น้ำมะขามข้น ๆ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนกาแฟ แล้วดื่มให้หมดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้ถ่ายง่าย หรือหากไม่ได้ท้องผูกมาก ๆ ก็นำมะขามเปียกแกะเมล็ดแล้วมาจิ้มเกลือกินสัก 5-10 ฝัก แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็ช่วยได้
มะขามแขก มีฤทธิ์เป็นยาระบายเช่นกัน โดยใช้ใบแห้ง 1-2 หยิบมือ หรือใช้ฝัก 4-5 ฝัก หักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย นาน 15 นาที ดื่มก่อนนอน ถ้ามีอาการแน่นจุกเสียดให้ใช้ร่วมกับยาขับถ่าย เช่น ขิงแก่ กระวาน หรือกานพูล เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูกประจำ แต่ถึงกระนั้นก็ควรระวัง อย่ารับประทานมะขามติดต่อกันนานเกินไป ควรใช้รักษาอาการท้องผูกเป็นครั้งคราวเท่านั้น เพราะจะทำให้ขาดธาตุโปแตสเซียม และทำลายระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้
ลูกพรุนแห้ง ให้รับประทานทั้งผล เพื่อจะได้กากอาหาร หรือดื่มเป็นน้ำลูกพรุนก็ได้ โดยควรรับประทานตอนกลางคืนก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรทานมากเกินไป หรือทานบ่อยเกินไป เพราะถึงแม้จะมีกากใยมาก แต่ก็มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยง
แอปเปิลเขียว มีเส้นใยอาหารมาก สามารถกินทั้งผลหรือปั่นทั้งกากก็ได้ 1 ผล ให้ใยอาหาร 4.4 กรัม
ถั่วดำ ถือเป็นธัญพืชที่มีใยอาหารสูงมาก โดยถั่วดำต้มหรือนึ่ง 1 ถ้วย มีใยอาหารมากถึง 15 กรัม
สับปะรด และมะละกอ มีน้ำย่อยช่วยกัดกากคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ถูกย่อยไม่หมด ทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น
เม็ดแมงลัก ตักออกมาสัก 2 ช้อนชา แช่ในน้ำเปล่า 1 แก้ว (250 ซี.ซี.) ให้พองตัวเต็มที่ แล้วค่อยดื่มช่วงก่อนนอน จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น เพราะแมงลักมีเมือกหล่อลื่น ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้แมงลักพองตัวเต็มที่เท่านั้นจึงทานได้ หากเม็ดแมงลักยังพองตัวไม่เต็มที่แล้วเราทานเข้าไป เม็ดแมงลักจะไปดูดน้ำจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อุจจาระแข็งและอุดตันเกิดอาการท้องผูกมากขึ้น
ขี้เหล็ก ขี้เหล็กเป็นสมุนไพรมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นเหมาะสำหรับผู้สูงอายุซึ่งมักจะนอนไม่หลับ รับประทานอาหารไม่ได้ และมีอาการท้องผูก ให้นำใบอ่อนหรือดอกตูมมาประกอบอาหารรับประทาน หรือจะนำใบขี้เหล็ก 4-5 กำมือ มาต้มกับน้ำพอท่วม แล้วดื่มก่อนนอนก็ได้
กล้วยน้ำว้าสุก เป็นผลไม้ที่มีสารเพกทินสูง ช่วยเพิ่มกากอาหาร และยังมีเมือกลื่นทำให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ควรทานทุกวัน ๆ ละ 2-4 ผล
มะเฟือง ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดนี้สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้เช่นกัน เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย และยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารด้วย โดยให้ทานมะเฟือง 2-3 ลูก ขณะท้องว่าง
เมล็ดแฟลกซ์ (flaxseed) อาจโรยลงในซีเรียล หรือสลัด เมื่อทานแล้วจะไปพองตัวในร่างกาย ช่วยดูดซึมของเหลว และไปเพิ่มกากอาหารให้กับอุจจาระ
ชุมเห็ดเทศ เป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายชั้นเลิศอีกหนึ่งตัว โดยให้ใช้ดอกสดมาต้มจิ้มกินกับน้ำพริก หรือนำใบสดไปหั่นตากแห้ง แล้วนำไปต้มดื่มเป็นน้ำชาก็ได้
Tip เด็ด ๆ พิชิตอาการท้องผูก
- เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ยังไม่ต้องแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว (ห้ามดื่มน้ำเย็น) เพราะการดื่มน้ำตอนท้องว่างจะช่วยให้ลำไส้บีบรัดตัวได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกปวดอุจจาระ
- บริหารร่างกายในตอนเช้า ด้วยการยืนตรง หายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้มลง หายใจออก เอามือเท้าเข่าไว้ แขม่วท้องจนเหมือนหน้าท้องติดสันหลัง
- ขณะนั่งอยู่บนโถส้วม ให้ใช้ฝ่ามือนวดหน้าท้อง โดยวนตามเข็มนาฬิกาหลาย ๆ รอบ แขม่วท้องไว้ด้วย
- ส้วมนั่งยองจะช่วยทำให้ขับถ่ายได้ง่ายกว่าส้วมชักโครก เพราะจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายอยู่ในลักษณะตรง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและไม่มีอุจจาระเหลือค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ แต่หากที่บ้านมีแต่ส้วมชักโครก แนะนำให้นั่งโค้งตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น หรืออาจหากล่องมาวางเท้า จะได้ยกเข่าให้สูงขึ้น
วิธีบริหารกาย ช่วยคลายท้องผูก
ลองฝึกบริหารร่างกายดู วิธีนี้จะช่วยให้คนมีปัญหาท้องผูก สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น
- ขั้นที่ 1 ให้นอนหงายกับพื้น มือทั้งสองวางรองไว้ใต้ศีรษะ ขาทั้งสองวางชิดกัน แล้วยกขึ้นช้า ๆ ให้ตั้งฉากกับลำตัว นับ 1-10 แล้วค่อย ๆ วางลง ทำซ้ำ 6 ครั้ง
- ขั้นที่ 2 มือทั้งสองกางออกข้างลำตัว แล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้นตั้งฉากกับลำตัว วางขาทั้งสองลงด้านข้างทางขวา นับ 1-5 ยกขึ้นตั้งฉาก แล้วสลับทำอีกข้าง จากนั้นค่อย ๆ วางขาทั้งสองลงบนพื้น ผ่อนคลายสักครู่ แล้วทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
ท้องผูก ต้องไปพบแพทย์หรือไม่ ?
ปกติแล้วท้องผูกเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมาก แต่หากใครมีอาการท้องผูกนานเกิน 2 สัปดาห์ หรือท้องผูกรุนแรง ร่วมกับอาการอื่น เช่น ปวดท้องมาก น้ำหนักลด ถ่ายเป็นมูกเลือด อาเจียน ก็ควรจะมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย เพราะท้องผูกที่เป็นอาจเป็นสัญญาณแฝงของโรคอื่นก็เป็นได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- หนังสือคู่มือการดูแลสุขภาพ โดยวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล