เช็กอาการโลหิตจาง สัญญาณไหนบอกได้บ้างว่าเลือดจาง ควรรักษา

          โรคโลหิตจางอันตรายไหม ถ้าป่วยโรคเลือดจางอาการจะเป็นอย่างไร ควรกินอะไร-ไม่ควรกินอะไรบ้าง เช็กให้รู้จะได้ดูแลตัวเองได้ถูกต้อง

โรคโลหิตจาง

          สำหรับคนที่อยากบริจาคโลหิต แต่ความเข้มข้นของเลือดไม่เคยผ่านเกณฑ์สักที พร้อมกับมีอาการป่วยบ่อย อ่อนเพลียง่าย ๆ เริ่มสงสัยตัวเองกันไหมคะว่าเรามีภาวะโลหิตจางหรือโรคเลือดจางอยู่หรือเปล่า แล้วอาการโรคเลือดจางสังเกตได้จากอะไร หากป่วยโรคโลหิตจางแล้วกินอะไรบำรุงเลือด หรือไม่ควรกินอะไรที่อาจเป็นของแสลงต่อร่างกายบ้าง ลองมาเช็กอาการโรคโลหิตจางเบื้องต้นกันก่อน

โรคโลหิตจาง คืออะไร


          โรคโลหิตจาง หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Anemia เป็นภาวะที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้มีอาการซีด เหนื่อยง่าย ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะเม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ส่งออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย หากเม็ดเลือดแดงลดลง จะทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติได้ ซึ่งภาวะเลือดจางหรือโลหิตจาง เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน

โรคโลหิตจาง

โรคโลหิตจาง สาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง

          สาเหตุของโรคโลหิตจาง สามารถแบ่งตามกลไกการเกิดโรคได้ 3 สาเหตุใหญ่ ๆ ดังนี้

1. ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง

          ภาวะโลหิตจางจากร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง เกิดได้จากหลายปัจจัย โดยจำแนกได้ตามนี้

          - โรคโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และกรดโฟลิก ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง มักพบในกลุ่มคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ หรือทานน้อยเกินไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรคที่มีอาการเบื่ออาหาร ผู้สูงอายุที่ทานอาหารได้น้อย รวมทั้งเด็ก ๆ วัยเจริญเติบโต และสตรีมีครรภ์ที่ต้องการธาตุเหล็กมากกว่าคนปกติ

          - โรคไตวายเรื้อรัง ส่งผลให้การสร้างเม็ดเลือดแดงของร่างกายบกพร่อง เนื่องจากร่างกายสร้างฮอร์โมนอิริโธรโพอิติน (Erythropoietin) จากไตได้ลดลง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้มีหน้าที่ในการกระตุ้นไขกระดูกในการสร้างเม็ดเลือดแดง

          - โรคไขกระดูก เช่น โรคกระดูกฝ่อ มะเร็งไขกระดูก หรือการติดเชื้อในไขกระดูก เป็นต้น

          - โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง (โดยเฉพาะโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว) โรคข้ออักเสบ โรคติดเชื้อเรื้อรัง หรือโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

2. โรคที่ก่อให้เกิดภาวะทำลายเม็ดเลือดแดงในร่างกาย

          นอกจากโรคที่เกี่ยวข้องกับไขกระดูกแล้ว โรคในกลุ่มที่ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลายได้ง่ายกว่าปกติ หรือมีอายุสั้นกว่าปกติ ที่พบได้บ่อยในไทยก็ได้แก่

          - โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม อาจมีอาการโลหิตจางอย่างรวดเร็วเมื่อมีไข้ หรือบางรายอาจมีอาการตัวเหลือง ม้ามโต ตับโต มีภาวะโลหิตจางตั้งแต่อายุน้อย ๆ

                   * ธาลัสซีเมีย โรคทางพันธุกรรมที่คนไทยเป็นพาหะกว่า 20 ล้านคน !

          - โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากการขาดเอนไซม์ G-6PD หรือโรคแพ้ถั่วปากอ้า ผู้ป่วยจะมีความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเม็ดเลือดแดงได้ง่ายกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะหากถูกกระตุ้นด้วยสารบางอย่างที่เม็ดเลือดแดงไม่อาจต้านทานได้ เช่น สารบางชนิดในถั่วปากอ้า เป็นต้น

                   * โรคแพ้ถั่วปากอ้า G6PD อันตรายไหม เช็กอาการจากอะไรได้บ้าง

          - โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย โดยอาจพบโรคนี้ร่วมกับโรคทางระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ

          - การติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อมาลาเรีย คลอสติเดียม หรือเชื้อไมโคพลาสมา เป็นต้น

3. การเสียเลือด

          ภาวะเสียเลือดอย่างฉับพลันจากอุบัติเหตุ การตกเลือด หรือภาวะเสียเลือดเรื้อรัง เช่น เสียเลือดทางประจำเดือนในผู้หญิง เสียเลือดในทางเดินอาหารในผู้ชายและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร-ลำไส้ใหญ่ หรือเสียเลือดไปกับโรคริดสีดวงทวาร โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีภาวะเสียเลือดมากมักจะมีภาวะขาดธาตุเหล็กร่วมด้วย

โรคโลหิตจาง

โรคโลหิตจาง อาการเป็นอย่างไร

          ด้วยสาเหตุของโรคโลหิตจางหรือภาวะเลือดจางมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน และอาการของผู้ป่วยโรคโลหิตจางในแต่ละสาเหตุอาจมีความแตกต่างกันไปตามรอยโรคนั้น ๆ ทว่าเราก็สามารถเช็กอาการโลหิตจางเบื้องต้นได้จากอาการต่อไปนี้

          1. ตัวซีด จนมีคนทักว่าซีดลง (หน้าซีด เยื่อบุตาซีด และริมฝีปากซีด) โดยไม่มีไข้

          2. ตัวเหลืองจนสังเกตเห็นได้ชัด

          3. เหนื่อยง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะขณะออกแรง

          4. อ่อนเพลีย

          5. เบื่ออาหาร

          6. หน้ามืด วิงเวียน

          7. หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน

          8. ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว หากรุนแรงอาจหัวใจล้มเหลว

โรคโลหิตจาง

โรคเลือดจาง หายได้ไหม รักษาอย่างไร

          วิธีรักษาโรคโลหิตจางแพทย์จะทำการรักษาตามความรุนแรงของอาการผู้ป่วยแต่ะราย โดยวิธีรักษามีตั้งแต่การให้เลือดแดงทดแทน ให้ออกซิเจนในเคสที่อาการค่อนข้างรุนแรงมาก และอาจให้ผู้ป่วยพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นหลัก

          ส่วนผู้ป่วยโลหิตจางที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจรักษาตามอาการโดยให้ยาบำรุงโลหิตไปรับประทานเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของเลือด แต่อย่างไรก็ตาม หลักการรักษาโรคโลหิตจางที่สำคัญคือการตรวจหาสาเหตุของโรคให้ชัดเจน เพื่อช่วยให้แพทย์เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและให้ผลการรักษาที่น่าพอใจ ที่สำคัญในบางครั้งภาวะโลหิตจางก็อาจทำให้เราตรวจพบโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ในผู้ป่วยภาวะเลือดจางได้

         ฉะนั้นหากสงสัยว่าตัวเองมีภาวะโลหิตจางก็ควรไปปรึกษาแพทย์จะดีที่สุดนะคะ อย่างไรก็ดี โรคโลหิตจางในบางเคสที่มีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรม หรือโรคเรื้อรัง อาจรักษาไม่หายขาด แต่หากเป็นโรคเลือดจางจากอุบัติเหตุ การเสียเลือด หรือภาวะร่างกายขาดสารอาหารบำรุงเลือด ในเคสนี้สามารถรักษาโรคโลหิตจางให้หายขาดได้นะคะ

          อย่างไรก็ตาม หากมีอาการข้างต้นและสงสัยว่าตัวเองมีภาวะโลหิตจาง ควรไปตรวจเช็กกับแพทย์อย่างละเอียดอีกทีเพื่อความแน่ใจ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียด ร่วมกับตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด โดยดูจากระดับฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริตของเม็ดเลือดแดง หรือบางเคสอาจต้องเข้ารับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของภาวะโลหิตจางต่อไป

โรคโลหิตจาง
 
โลหิตจาง อันตรายไหมถ้าป่วยขึ้นมา

          ความอันตรายของโรคนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เป็นด้วยค่ะ หากเลือดจางเพราะขาดสารอาหาร อาการจะไม่รุนแรงมากนัก บางคนอาจแค่มีอาการอ่อนเพลีย ซีด รู้สึกเหนื่อยง่าย ซึ่งแม้จะดูไม่ได้อันตรายมาก แต่อาการเหนื่อยง่าย ร่างกายอ่อนแอ ก็มักจะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งประสิทธิภาพในการทำงานและสติปัญญาลดลงได้เหมือนกัน

          แต่หากเป็นภาวะเลือดจางที่เกิดจากอุบัติเหตุ การเสียเลือดกะทันหัน หรือโรคต่าง ๆ ย่อมเป็นอันตรายได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้ายแรงต้องระวังภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา




โรงเลือดจาง ต้องกินอะไรบำรุง


          สำหรับคนที่มีภาวะเลือดจาง ที่ไม่มีอาการป่วยของโรคเรื้อรังอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะความดันโลหิตสุง โรคเบาหวาน หรือโรคไต ควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู ไตหมู นม ไข่ ตำลึง กะหล่ำ มะเขือเทศ ผักโขม ใบชะพลู กว้างตุ้ง หรือสามารถกินอาหารบำรุงเลือดตามนี้ก็ได้

                   * อาหารบำรุงเลือด กินอย่างนี้สิป้องกันภาวะโลหิตจาง

          ทั้งนี้แนะนำให้ทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงควบคู่ไปด้วยในมื้อเดียวกัน เช่น ทานเนื้อสัตว์ร่วมกับผักใบเขียว หรือขี้เหล็ก มะรุม ผักหวาน สะเดา มะระขี้นก คะน้า บรอกโคลี ที่มีวิตามินซีสูง เพราะปกติแล้วร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้ไม่มาก แต่วิตามินซีจะช่วยให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น

โรคโลหิตจาง

โรคโลหิตจาง ห้ามกินอะไร

          ในกรณีที่มีภาวะโลหิตจางจากโรคธาลัสซีเมีย ผู้ป่วยควรระมัดระวังการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพราะอาจทำให้เกิดการดูดซึมและสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายเยอะเกินไป และอาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อน เช่น หัวใจล้มเหลว โรคตับ โรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น

          ดังนั้นผู้ป่วยโรคโลหิตจางที่เกิดจากธาลัสซีเมีย ควรเลี่ยงอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างตับสัตว์ เลือด ผักขี้เหล็ก ผักคะน้า รวมไปถึงช็อกโกแลต และควรเลือกรับประทานอาหารโปรตีนสูง เช่น เนื้อปลาทะเล เนื้อไก่ ธัญพืชต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ด้วยนะคะ

โรคโลหิตจาง

โรคโลหิตจาง ป้องกันได้

          สำหรับคนที่มีร่างกายปกติดี ไม่ได้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังหรือโรคทางพันธุกรรมที่ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงในร่างกายลดน้อยลง สามารถป้องกันภาวะโลหิตจางได้ด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ทารก วัยรุ่น และผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ควรรับประทานอาหาร ผัก ผลไม้บำรุงเลือด และควรทานยาบำรุงโลหิตเป็นประจำ

          นอกจากนี้ยังควรไปตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำเพื่อเช็กความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง แต่หากใครมีอาการซีด อ่อนเพลีย และวูบบ่อย ๆ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจภาวะโลหิตจางก่อนเลยนะคะ เพราะไม่แน่ว่าเราอาจขาดสารอาหารที่ดีต่อเลือดจนส่งผลให้ร่างกายป่วยได้ง่าย ๆ


ขอบคุณข้อมูลจาก
หมอชาวบ้าน
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เช็กอาการโลหิตจาง สัญญาณไหนบอกได้บ้างว่าเลือดจาง ควรรักษา อัปเดตล่าสุด 10 มีนาคม 2564 เวลา 14:44:30 418,763 อ่าน
TOP
x close