
สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
โรคธาลัสซีเมีย ป่วยแล้วควรเลี่ยงทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก รวมทั้งช็อกโกแลต เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน แนะทานอาหารที่มีโปรตีนสูง อย่าออกกำลังหนักจนเกินไป
เชื่อไหมว่า เด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงปีละกว่า 4,000 คน และคนไทยก็มียีนโรคนี้แฝงในตัวกว่า 22 ล้านคน แถมคนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวด้วย ซึ่งหากคนที่เป็นพาหะมาแต่งงานกัน ก็ทำให้โรคธาลัสซีเมียถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่ลูก จนต้องใช้เงินรักษาพยาบาลตลอดชีวิตไม่น้อยเลย
ทั้งนี้ ภญ.นิภาพร ชาตะวิริยะพันธ์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ให้ข้อมูลว่า ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีการแตกตัวเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการซีด โดยลักษณะเฉพาะผู้เป็นโรคธาลัสซีเมียได้แก่ตัวเหลือง ซีด จมูกบี้ โหนกแก้มสูง ท้องบวม ตัวไม่โต
หากใครป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียแล้ว ก็ต้องทำการรักษาโดยการให้เลือด คือ นำเลือดจากผู้บริจาคถ่ายให้ผู้ป่วยเพื่อรักษาอาการโลหิตจาง แต่การที่ต้องให้เลือดเป็นประจำนั้น ก็จะทำให้ธาตุเหล็กสะสมมากเกินไป ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องได้รับยาขับธาตุเหล็กออกจากร่างกายควบคู่เป็นประจำด้วย
สำหรับการรับประทานยาขับธาตุเหล็ก จะคำนวณจากน้ำหนักร่างกายของผู้ป่วย และรับประทานยา 3 เวลา โดยยาขับธาตุเหล็ก deferiprone (GPO-L-ONE) ขององค์การเภสัชกรรมนี้ ได้บรรจุไว้ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งการรับประทานควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ และที่สำคัญไม่ควรซื้อวิตามิน แร่ธาตุ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก
ในส่วนของการดูแลสุขภาพผู้ป่วยนั้น ควรทานอาหารที่เหมาะสม คืออาหารประเภทให้โปรตีนสูง ไข่ นม ผักใบเขียว แต่ต้องระวังอย่ารับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากเกินไป ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของเหล็ก เช่น ตับสัตว์ เลือด ผักบางชนิดอย่าง ผักขี้เหล็ก ผักคะน้า รวมไปถึงช็อกโกแลต
ที่สำคัญห้ามกินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็ก เพราะทำให้เกิดการดูดซึมและสะสมของธาตุเหล็กในร่างกายอย่างมากมาย อาจเกิดผลแทรกซ้อนต่อการทำงานระบบหัวใจ (หัวใจล้มเหลว) โรคตับ (ตับแข็ง) นิ่วถุงน้ำดี เป็นต้น
สำหรับการออกกำลังกายนั้น ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องไม่หักโหมหรือออกกำลังกายจนเหนื่อยเกินไป เพราะผู้ป่วยโรคนี้จะมีกระดูกเปราะหักง่าย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
องค์การเภสัชกรรม