
แพทย์ชี้....ทาแป้งจุดซ้อนเร้นอันตราย เสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ (สสส.)
หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัว เพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใคร ๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้น ซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่า ช่วยให้แห้งสบายจากความชื้น โดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้
แป้งเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ เรารู้จักแป้งกันดี เมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟ ทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้น ทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียนลื่น ไม่ดูดติดกัน เป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึงยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ
พญ.นิศานาถ ธนะภูมิ สูตินรีแพทย์ กล่าวว่า แป้งเป็นอันตรายต่อปอดของคนเรา เนื่องจากเวลาที่เราทาแป้ง ตอนโรย ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าเราสูดดมเข้าไปในทางเดินหายใจทีละน้อย ๆ เป็นเวลานาน ๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เราเรียกภาวะนี้ว่า "pneumoconiosis" ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมาก ๆ เช่น การสำลักผงแป้งเข้าไป ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบและตายจากสาเหตุนี้ สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้
แต่ทั้งนี้ แป้งจะไม่ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้ เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส (Asbestos Fibers) ผสมอยู่ด้วย ซึ่งแป้งที่ใช้ทั่วไปนั้นจะไม่มีแอสเบสตอส
นอกจากแป้งจะส่งผลต่อปอดแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อรังไข่ของคนเราได้อีกด้วย จากการค้นคว้าพบว่าคนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัว และเครื่องสำอาง ต้องปราศจากแอสเบสตอส ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อย ๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่า ต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีแป้งอยู่ในนั้น
สรุปได้ว่า น่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศ และทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่ โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูก และท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง อีกทั้งยังเชื่อว่าแป้งสารอนินทรีย์จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน
ซึ่งขณะนี้ แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาได้เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพดแทน เพราะสามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่
พญ.นิศานาถ กล่าวต่อว่า ส่วนแป้งโรยตัวและเครื่องสำอางในเมืองไทยเรานี้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ ดั่งรายงานทางการแพทย์ที่มีมากมาย ดังนั้นกุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงขอแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์
ดังนั้น.....










เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
