
เทคนิคการนอนหลับสบาย (Woman plus)
หลาย ๆ คนมีปัญหาการนอนไม่ค่อยหลับ เวลานอนก็ไม่พอ เป็นผลให้เช้ามาก็ไม่สดใส แล้วยิ่งหากนอนน้อยติดต่อกั นจะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมขึ้ นมาอีกด้วยนะคะ วันนี้เลยมีเทคนิคเล็ก ๆ เพื่อช่วยให้หลับสบายมากขึ้ นมาฝากกันค่ะ

พยายามจัดระเบียบการนอนให้เป็ นเวลาและพยายามเข้านอนตามเวลานั ้น ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุ ดในการพักผ่อนร่างกาย


การฝึกกำหนดลมหายใจ การนั่งสมาธิ การเล่นโยคะ และการรำไทเก๊ก ช่วยให้ร่างกายของคุณผ่ อนคลายและหลับสบายมากขึ้น รวมไปถึง การทำจิตใจให้สงบ หากมีอะไรรบกวนจิตใจก่อนเข้านอน ให้ระบายสิ่งที่กวนใจนั้นด้ วยการเขียนลงบนกระดาษหรื อระบายให้คนรอบข้างฟังเสียก่อน

การใช้ที่ปิดตาและการเปิดดนตรี เบา ๆ ขับกล่อม การสร้างกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้คุณผ่ อนคลายและการนอนหลับที่ง่ายขึ้น อยู่ห่างจากเครื่องมือสื่อสารทุ กชนิด ที่จะดังรบกวนคุณได้ในระหว่ างการนอนหลับ ปิดไฟในห้องนอนเพื่อสร้ างบรรยากาศที่สงบให้กับตัวคุ ณเอง

ควรออกกำลังกายก่อนนอน ในช่วงเย็น หรือประมาณ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน และควรทำเป็นประจำ เนื่องจากการออกกำลังกายอย่ างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้คุณหลั บสบายมากขึ้น อีกอย่างจะทำให้คุณมีสุขภาพร่ างกายที่แข็งแรงมากขึ้นด้วย

ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายพอดี รวมทั้งเสริมเครื่ องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่ มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง

หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ ร่างกายตื่นตัว และจะทำให้หลับยาก


อย่างการดื่มน้ำอุ่น นมอุ่น หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยทำให้สมองและร่างกายผ่ อนคลายและง่วงนอนง่ายขึ้น

นอกจากการหลีกเลี่ยงการดื่มเครื ่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอี นแล้ว ก็ไม่ควรนอนในขณะที่กำลังหิวหรื ออิ่มเกินไป และไม่ควรนอนทันทีหลังจากที่ดื่ มน้ำหรือรับประทานของเหลว เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกหิว ให้รับประทานผลไม้ เช่น กล้วย ที่อุดมไปด้วยโปแทสเซียมและได้ รับการวิจัยมาแล้วว่าสามารถช่ วยให้นอนหลับสบายหลังจากรั บประทาน

หลาย ๆ คนอาจมองว่าการนอนไม่พอมีปัจจั ยมาจากความเครียด แต่ที่จริงแล้วการที่ร่างกายได้ รับการพักผ่อนไม่เพียงพอนั้ นอาจส่งผลกับร่างกายในด้านอื่น ๆ ได้อีก ถ้ามีปัญหาในเรื่องของการนอนหลั บควรรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ ยวชาญ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก