โรคไฟโบรมัยอัลเจีย โรคปวด (ยิ่งกว่า) เรื้อรัง ที่ถูกเข้าใจอย่างผิดๆ (Health plus)
ข้อมูลจากบริษัทไฟเซอร์ ประเทศไทย
หากถามว่า ตอนนี้คุณรู้สึกปวดเมื่อยไหม? รู้สึกปวดจนผิดปกติหรือเปล่า? หรืออาการปวดลุกลามจนทำให้คุณต้องหงุดหงิดใจ? ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้หญิง ความเสี่ยงยิ่งสูง...
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังประสบกับอาการปวดจนทรมาน และหาสาเหตุไม่ได้ ..ขอให้คุณอย่านิ่งนอนใจ เพราะโรคที่ชื่อฟังไม่คุ้นหู อาจกำลังคุกคามคุณอยู่ก็เป็นได้
โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ก็คือโรคปวดเรื้อรัง มักจะมีอาการเจ็บปวดมากกว่าปกติ และอาการปวดจะขยายลุกลามไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยได้รับความทรมานกว่าการเจ็บปวดแบบปกติทั่วไป พบบ่อยในเพศหญิงวัยทำงาน โดยยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ แต่ความเข้าใจทั่วไปเชื่อว่า ผู้ป่วยอาจมีปัจจัยเสี่ยงมาจากความเครียด หรือความกังวลอยู่บ่อยครั้ง หรืออาจจะเป็นปัจจัยทางด้านชีวภาพ เช่น ยืนในพันธุกรรมเพศหญิง อายุ การบาดเจ็บ หรือเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย
ปัจจุบัน โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกประมาณ 40 ล้านคน ทำให้ผู้ป่วยขาดความสามารถในการดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติ คุณภาพชีวิตด้อยลง รวมถึงผลกระทบทางการเงินเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายในการตรวจค้นสาเหตุและรักษาความเจ็บป่วย
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น โรคไฟโบรมัยอัลเจีย?
ในการวินิจฉัยทางการแพทย์ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แน่ชัด อาจตรวจพบได้โดยการที่ผู้ป่วยมีบริเวณที่เจ็บปวดอย่างรุนแรง จากการกดลง 11 จุดจาก 18 จุดของร่างกาย ร่วมกับการตรวจสอบประวัติความเจ็บปวดของร่างกาย หรือหากมีอาการปวดจนผิดสังเกตควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดต่อไป
การดูแลรักษา โรคไฟโบรมัยอัลเจีย
ใช้ยาเพื่อระงับความปวด หรือ ยาด้านความวิตกกังวล
ใช้การออกกำลังแบบแอโรบิค
ใช้การรักษาทางด้านจิตใจเพื่อลดอาการหดหู่ เศร้าสร้อย
ดร.เฮนรี่ ลูก หัวหน้าคลินิกควบคุมความปวดแห่งศูนย์การแพทย์มาคาติ กล่าวว่า "อาการปวดเรื้อรังในโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ยังเป็นองค์ความรู้ใหม่ในวงการแพทย์ ผลของการสำรวจได้บ่งชี้ว่า บุคลากรทางการแพทย์ทั่วเอเชียยังขาดประสบการณ์ และการฝึกอบรมในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ซึ่งน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความล่าช้า ในกระบวนการตรวจวินิจฉัยและบำบัดโรค"
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการปวดเรื้อรังอยู่ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรไปพบแพทย์ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดดีกว่าทนอยู่กับความทรมานนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก