3 อาหารที่ช่วยให้ผิวพรรณของเราทนทานต่อรังสียูวีและความแสบร้อนจากแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่กินก็ถือว่าพลาด !
โลกร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูง่าย ๆ จากความรู้สึกเวลาที่เราออกแดดสิคะ ผิวนี่แทบจะมีไฟลุกไหม้ชนิดที่ไม่คิดจะแคร์ครีมกันแดดที่ชโลมลงไปเลยล่ะ นึกแล้วก็เพลียใจ ไม่อยากจะคิดเลยว่าผิวหนังชั้นในและเซลล์ผิวจะถูกแสงแดดทำร้ายให้สาหัสแค่ไหน ฉะนั้นจึงต้องรีบนำ 3 อาหารที่มีคุณสมบัติสู้แดดชั้นดีจาก หมอชาวบ้าน มาบอกต่อด่วน ๆ
แสงแดดและอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน มีผลกระทบโดยตรงต่อผิวหนังของเรา ทั้งปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวแดง ผิวไหม้ ไปจนถึงปัญหาใหญ่อย่างมะเร็งผิวหนัง การหลีกเลี่ยงและป้องกันแสงแดดและแสงยูวีจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
ปัจจุบันนอกจากจะมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและป้องกันแดดต่าง ๆ มาให้เลือกกันแล้ว ยังมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันได้ว่า การกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายต่อต้านกับแสงแดดได้ดียิ่งขึ้น และช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดดได้ โดยเฉพาะอาหารที่มีเบต้า แคโรทีน (beta-carotene) สูง ซึ่งพบมากในผักใบเขียว แครอท พริก หรือพริกหยวกสีแดง ผลไม้สีเหลืองอย่างมะม่วง แตงโม โดยจะให้ประสิทธิภาพดีหากมีการกินอาหารที่มีเบต้า แคโรทีนสูงเหล่านี้ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 10 สัปดาห์ขึ้นไป
ส่วนสาร ไลโคปีน (lycopene) ก็เป็นสารอีกตัวหนึ่งในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งนอกจากจะเป็นสารต้านมะเร็งแล้ว หากกินต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป ก็จะเห็นผลดีในการช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดด ซึ่งสารไลโคปีนนี้พบมากในมะเขือเทศ และฟักข้าว
ฟักข้าว
ส่วนฟักข้าวนั้น เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยไลโคปีน ซึ่งมีปริมาณสูงกว่ามะเขือเทศถึง 12 เท่า และมีสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ เช่น เบต้า แคโรทีนมากกว่าแครอท 10 เท่า มีวิตามิน C มากกว่าส้ม 40 เท่า มีซีแซนทีนมากกว่าข้าวโพด 40 เท่า อุดมด้วยวิตามิน E วิตามิน A กรดไขมันโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยในการชะลอวัย ป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ป้องกันปัญหาผิวแห้งกร้าน รวมทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด
นอกจากนี้ ในฟักข้าวยังมีไลโคปีนชนิดพิเศษที่เรียกว่า ไลโปแคโรทีน (lipocarotene) ซึ่งเป็นกรดไขมันสายยาวที่ช่วยดักจับและดูดซึมแคโรทีน ฟักข้าวจึงจัดเป็นแหล่งของไลโคปีนที่ดีที่สุด
สำหรับการกินมะเขือเทศหรือฟักข้าวนั้น แนะนำให้กินมะเขือเทศหรือฟักข้าวที่ผ่านความร้อน ซึ่งจะมีปริมาณไลโคปีนสูงกว่าในผลสด เนื่องจากความร้อนจะทำให้เซลล์มะเขือเทศหรือฟักข้าวแตก ส่วนการบดก็จะยิ่งทำให้ไลโคปีนออกมานอกเซลล์ได้มากขึ้น และสารไลโคปีนในธรรมชาติเมื่อถูกความร้อนร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความร้อนที่ใช้ปรุงจะต้องไม่สูงมากและไม่ใช้ความร้อนเป็นเวลานานเกินไป เพราะจะทำให้ไลโคปีนสลายไปนั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีผักผลไม้อื่น ๆ ที่อุดมไปด้วยไลโคปีน เช่น
แตงโม 1 ชิ้น (286 กรัม) มีไลโคปีน 12,962 ไมโครกรัม
มะละกอ 1 ผล (304 กรัม) มีไลโคปีน 5,557 ไมโครกรัม
มะม่วง 1 ผล (207 กรัม) มีไลโคปีน 6 ไมโครกรัม
แครอท 1 ผล (72 กรัม) มีปริมาณไลโคปีน 1 ไมโครกรัม
มะเขือเทศ
มะเขือเทศ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามิน C วิตามิน A วิตามิน K วิตามิน B วิตามิน B 1 วิตามิน B 2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีสารจำพวกไลโคปีน แคโรทีนอยด์ เบต้า แคโรทีน และกรดอะมิโน เป็นต้น
มะเขือเทศมีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส ไม่แห้งกร้าน มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย มีการศึกษาพบว่า การกินซอสมะเขือเทศวันละ 48-55 กรัม หรือประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ หรือกินน้ำมะเขือเทศวันละ 250 ซี.ซี. ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 10 สัปดาห์ขึ้นไป จะช่วยเพิ่มปริมาณสารแคโรทีนอยด์ในผิวหนัง และอาการแดงของผิวหนังหลังจากโดนแสงแดดจะน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่กินซอสมะเขือเทศถึง 33%
นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มที่กินมะเขือเทศ แสงแดดจะทำลายโมเลกุลของ DNA ในผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน และมีการสร้าง procollagen มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน
ชาเขียว
ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อ โพลีฟีนอล (pholyphenols) ซึ่งสามารถช่วยปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากรังสียูวีได้ โดยร่างกายสามารถรับโพลีฟีนอลได้ทั้งจากการดื่ม และการทาครีมที่มีส่วนผสมของชาเขียว และยังมีงานวิจัยพบว่าโพลีฟีนอลสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การกินอาหารเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะลดความเสี่ยงของการที่ผิวหนังถูกทำลายจากความร้อนของแสงแดด ดังนั้นการทาครีมกันแดดยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดให้ดีที่สุดควบคู่ไปกับการปฏิบัติตัว คือ หลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรง หรือสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันแสงแดดในทุกครั้งที่มีความจำเป็นต้องออกแดด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก