แม้โรคซึมเศร้าจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่การที่ได้รู้ว่าในแต่ละปีมีวัยรุ่น เยาวชน ป่วยโรคซึมเศร้าเยอะขึ้นก็น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน โดยข้อมูลเผยว่า โซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในช่องทางที่วัยรุ่นใช้พูดถึงโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ที่มีแฮชแท็กเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามากถึง 1.4 แสนข้อความ ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2561- มิถุนายน 2562 และยังพบว่าเยาวชนเข้ารับบริการปรึกษาปัญหาผ่านสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จาก 10,298 ครั้ง ในปี 2561 เป็น 13,658 ครั้ง ในครึ่งปีแรกของปี 2562
นอกจากนี้ข่าววัยรุ่นฆ่าตัวตายด้วยปมปัญหาสอบตก โดนขัดใจ หรือน้อยใจคนรอบข้างก็มีมาให้เห็นเรื่อย ๆ ดังนั้นเพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ เรามาดูอีกทีว่าโรคนี้เกิดจากอะไร และถ้าป่วยแล้วควรดูแลความรู้สึกกันยังไงดี
การบูลลี่ หรือการล้อ แกล้ง รังแก ในสมัยนี้ค่อนข้างจะรุนแรงและเป็นวงกว้างมากกว่าสมัยก่อน โดยเฉพาะการรังแกทางโลกไซเบอร์ ซึ่งความอับอาย ความเครียด การถูกกดดันเหล่านี้อาจทำให้วัยรุ่นเสียศูนย์และเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าได้มาก
โดนบูลลี่ (Bully) ทำไงดี มาเรียนรู้วิธีเซฟใจตัวเองเมื่อเจอคำร้าย ๆ
อาการโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นอาจแสดงออกในทางที่ต่างออกไปจากอาการซึมเศร้าโดยทั่วไป ซึ่งอาจทำให้ผู้ปกครองและคนรอบข้างเข้าใจผิด ไม่คิดว่าวัยรุ่นมีอาการซึมเศร้า เช่น
- มีพฤติกรรมก้าวร้าว ดื้อรั้น ต่อต้านรุนแรง
- อาจมีพฤติกรรมติดแอลกอฮอล์ ติดเกม ติดเซ็กส์
- หงุดหงิด ฉุนเฉียว
- นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมาก
- เฉื่อยชา แยกตัว เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร
- ไม่ร่าเริง ไม่ยิ้ม เหม่อลอย เบื่อหน่าย
- ไม่อยากพูดคุยกับใคร ไม่อยากเจอเพื่อน
- ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่มีสมาธิในการเรียน การทำงาน
- มีปัญหาการเรียน มาสาย ไม่เข้าเรียน หลับในห้องเรียน
- ไม่ดูแลตัวเอง กินมากจนอ้วน หรือไม่กินจนผอมมาก
- ไม่มั่นใจตัวเอง คิดว่าตัวเองไร้ค่า ท้อแท้ หมดหวัง
- ทำร้ายตัวเอง
- ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป อาจฆ่าตัวตายในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ความคิด พฤติกรรม และอาจมีอาการทางกายอื่น ๆ เช่น เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง ปวดศีรษะ ปวดท้องร่วมด้วย ดังนั้นคนรอบข้างจึงจำเป็นต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หากพบว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า ควรรีบพาไปพบจิตแพทย์และทำการรักษาอย่างถูกต้อง หรือจะลองประเมินอาการโรคซึมเศร้าจากแบบทดสอบของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ก่อนก็ได้
* ภาวะอารมณ์ซึมเศร้าจากการปรับตัวไม่ได้กับปัญหาที่มากระทบ
* โรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว
ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเศร้า แป๊บ ๆ กลับไปร่าเริง ซึ่งช่วงที่เศร้าอาจมีอาการคล้าย ๆ โรคซึมเศร้ามาก แต่ก็จะแตกต่างตอนที่อารมณ์เปลี่ยนมาดี จะรู้สึกอยากทำนั่นทำนี่ และมีอาการเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าปกติ
* โรควิตกกังวล
ผู้ป่วยโรควิตกกังวลอาจมีอาการซึมเศร้า เบื่ออาหาร แต่ไม่มากนัก และจะมีอาการหายใจไม่อิ่ม ใจสั่น สะดุ้ง ตกใจง่าย ซึ่งไม่ค่อยพบในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเท่าไร
หากพบว่าเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นมา แล้วมืดแปดด้านไม่รู้ต้องทำยังไง เรามีทางออกมาบอกต่อ ดังนี้
* พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือปรึกษานักจิตวิทยา
* พยายามออกไปเที่ยว ออกไปทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ทำกิจกรรมที่เราสนใจ
* ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
* รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
* นอนหลับให้เพียงพอ
* หลีกเลี่ยงการกินยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อโดยไม่จำเป็น
* งดดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
* เล่นกีฬา เล่นดนตรี
* เข้าใจอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้น และยอมรับว่าทุกคนเศร้าได้ เพราะไม่มีใครสมหวังไปทุกเรื่อง
* มองโลกในด้านบวก
* อย่าตัดสินใจเรื่องใหญ่ในชีวิต เช่น ลาออกจากโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือล้มเลิกแผนชีวิตบางอย่าง ในช่วงที่รู้สึกเศร้า
* ปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา
รวมศูนย์ปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต เครียด กังวลใจ ปรึกษาจิตแพทย์ที่ไหนดี
1. การรักษาด้วยยา
2. จิตบำบัด
ในกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ให้ผลที่น่าพึงพอใจ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยวิธีจิตบำบัดควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคซึมเศร้าจะค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ได้หายหรือมีอาการดีขึ้นในทันที ดังนั้นช่วงที่รักษาตัวอยู่ก็ควรทำตามที่จิตแพทย์แนะนำอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่องด้วย
นอกจากนี้แพทย์จะประเมินอาการผู้ป่วยก่อนว่ามีโรคอื่นร่วมด้วยหรือไม่ อย่างโรควิตกกังวลหรือโรคไบโพลาร์ ซึ่งหากมีภาวะของโรคดังกล่าวร่วมด้วย แพทย์ก็จะทำการรักษาควบคู่กันไป
ผู้ปกครองมีส่วนสำคัญอย่างมากกับการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้อาการดีขึ้น โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้
* เข้าใจอาการของผู้ป่วยว่าเป็นอาการของโรค ไม่ใช่ความอ่อนแอ
* ให้กำลังใจ และพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
* ใจเย็น รับฟังลูกด้วยเหตุผล
* ให้กำลังใจและคอยสนับสนุนเขาเมื่อเขาทำสิ่งดี ๆ
* พูดคุยกับลูกอย่างสม่ำเสมอ และช่วยลูกแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
* ขอความช่วยเหลือจากครู หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในสถานศึกษา ให้ช่วยดูแลผู้ป่วยเมื่อเขาอยู่ข้างนอกบ้าน
* หมั่นติดตามอาการของผู้ป่วย และหมั่นติดตามพฤติกรรม หากมีลักษณะอยากทำร้ายตัวเองจะได้ช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
1. สอดส่องมองหา
2. ใส่ใจรับฟัง
3. ส่งต่อและเชื่อมโยง
กรมสุขภาพจิต
Thai PBS
ศูนย์ความรู้เทคโนโลยีโรคซึมเศร้าไทย
จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สสส
โรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต