กระทั่งผลการศึกษาออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ FDA ของสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงในหลาย ๆ ประเทศ ได้อนุมัติให้ฉีดวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ขวบ เป็นกรณีฉุกเฉิน ตามด้วย อย. ไทย ที่อนุมัติการใช้วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ในเด็กช่วงอายุดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คงได้ฉีดกันในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นเพื่อไขข้อสงสัยในประเด็นฉีดไฟเซอร์ในเด็ก เราจึงพาทุกคนมาดูข้อมูลวัคซีนไฟเซอร์ที่ใช้ในเด็กเล็ก เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ปกครอง
ภาพจาก Framarzo/Shutterstock
- ชื่อวัคซีน : โคเมอร์เนตี (COMIRNATY VACCINE) ฝาสีส้ม คนละขวดกับของผู้ใหญ่ที่เป็นฝาสีม่วง
- ชนิดวัคซีน : mRNA
- บริษัทผู้ผลิต : บริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ของสหรัฐอเมริกา ร่วมกับบริษัทไบออนเทค (BioNTech) ประเทศเยอรมนี
- ปริมาณที่ฉีด : ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ปริมาณ mRNA 10 ไมโครกรัม หรือเท่ากับปริมาตรวัคซีน 0.2 มิลลิลิตร คิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณที่ฉีดในผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป (ลดปริมาณลงจากขนาดที่ฉีดในผู้ใหญ่)
- จำนวนเข็มและระยะห่าง : 3-12 สัปดาห์ หลังจากการฉีดเข็มแรก (ในประเทศไทยแนะนำ 8 สัปดาห์)
- การเก็บรักษา : เก็บรักษาในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ได้ 10 สัปดาห์ และเก็บในตู้แช่แข็งอุณหภูมิ -90 ถึง -60 องศาเซลเซียส ได้ 6 เดือน
- ประสิทธิภาพ :
- ป้องกันอาการป่วยโควิด 19 ได้ 90.7% ในเด็กอายุ 5-11 ขวบ
- ลดการรักษาตัวในโรงพยาบาล ลดความเสี่ยงป่วยหนัก
- ลดความเสี่ยงโรค MIS-C และลดอาการ Long Covid ที่เกิดขึ้นจากการติดโควิด
ภาพจาก Anupong457/Shutterstock
สำหรับผลข้างเคียงที่พบได้มีดังนี้
- อ่อนเพลีย 34%
- ปวดศีรษะ 22%
- ปวดกล้ามเนื้อ 9%
- ท้องเสีย 6%
- หนาวสั่น 5%
- ปวดข้อ 3%
- มีไข้ 3%
- อาเจียน 2%
- ปวดศีรษะ 28%
- ปวดกล้ามเนื้อ 12%
- ท้องเสีย 5%
- หนาวสั่น 10%
- ปวดข้อ 5%
- มีไข้ 7%
- อาเจียน 2%
ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็ก
เสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือไม่
พ่อแม่ผู้ปกครองคงเคยได้ยินข่าวมาบ้างว่า ในกลุ่มเด็กและคนอายุน้อยที่ฉีดวัคซีนชนิด mRNA อาจมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) หรือภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis) แม้จะพบได้ในอัตราที่น้อยมาก แต่ก็สร้างความกังวลว่าจะพบอาการดังกล่าวในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ขวบ ที่ฉีดวัคซีนโคเมอร์เนตีของไฟเซอร์ด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ จากรายงานของศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (CDC) ที่ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 5-11 ขวบ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน - 5 มกราคม 2565 เป็นจำนวน 8,674,378 โดส พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 12 ราย เป็นเพศหญิง 4 ราย เพศชาย 8 ราย แต่ทุกเคสมีอาการไม่รุนแรง หายเป็นปกติดี และเมื่อดูจากสถิติการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กและวัยรุ่น อายุ 5-17 ปี ที่สหรัฐอเมริกา จำนวน 37,810,998 ล้านโดส พบอัตราการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ดังนี้
- เด็กผู้ชายอายุ 5-11 ขวบ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็ม 2 อยู่ที่ 4.3 ต่อ 1 ล้านโดส
- เด็กผู้หญิงอายุ 5-11 ขวบ เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็ม 2 อยู่ที่ 2.0 ต่อ 1 ล้านโดส
- เด็กผู้ชายอายุ 12-15 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็ม 1 อยู่ที่ 4.8 ต่อ 1 ล้านโดส และหลังฉีดเข็ม 2 อัตรา 45.7 ล้านโดส
- เด็กผู้หญิงอายุ 12-15 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็ม 1 อยู่ที่ 1.0 ต่อ 1 ล้านโดส และหลังฉีดเข็ม 2 อัตรา 3.8 ล้านโดส
- ผู้ชายอายุ 16-17 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็ม 1 อยู่ที่ 6.1 ต่อ 1 ล้านโดส และหลังฉีดเข็ม 2 อัตรา 70.2 ล้านโดส
- ผู้หญิงอายุ 16-17 ปี เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดเข็ม 2 อยู่ที่ 7.6 ล้านโดส และไม่มีรายงานภาวะดังกล่าวในการฉีดเข็มที่ 1
จากข้อมูลปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า วัคซีนไฟเซอร์ยังค่อนข้างปลอดภัยสำหรับเด็กอายุ 5-11 ขวบ เนื่องจากมีอัตราการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบน้อยกว่าวัยรุ่นอายุ 12-17 ปี
ทางด้านราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกคำแนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สำหรับเด็กและวัยรุ่น ฉบับที่ 5 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 โดยสรุปเนื้อหาที่กล่าวถึงการฉีดวัคซีนในเด็กเล็ก ดังนี้
- แนะนำให้เด็กอายุ 5 ขวบ ถึงไม่เกิน 12 ปี ฉีดวัคซีนไฟเซอร์สูตรสำหรับเด็ก (ฝาสีส้ม แถบส้ม) ขนาด 10 ไมโครกรัม เข้ากล้ามเนื้อ 2 ครั้ง แต่ละเข็มห่างกัน 8 สัปดาห์
- สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป แต่ไม่เกิน 12 ปี สามารถเลือกฉีดวัคซีนเชื้อตายเป็นทางเลือกได้ โดยฉีดวัคซีนซิโนแวค 3 ไมโครกรัม หรือซิโนฟาร์ม 4 ไมโครกรัม เป็นเข็มที่ 1 ส่วนเข็มที่ 2 ให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ฝาสีส้ม 10 ไมโครกรัม โดยมีระยะห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์
- สำหรับเด็กอายุ 5 ขวบ ถึงไม่เกิน 12 ปี ที่เคยติดโควิด 19 มาแล้ว และยังไม่เคยได้วัคซีน แนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 8-12 สัปดาห์ (โดยฉีดวัคซีนโควิด นับจากวันที่มีอาการป่วยโควิดหรือนับจากวันที่ตรวจพบเชื้ออย่างน้อย 12 สัปดาห์)
- สำหรับเด็กอายุ 5 ขวบ ถึงไม่เกิน 12 ปี ที่เคยฉีดวัคซีน 1 เข็ม แล้วติดโควิด 19 แนะนำให้ฉีดวัคซีนเพิ่มอีก 1 เข็ม นับจากวันที่มีอาการป่วยโควิดหรือนับจากวันที่ตรวจผลเชื้ออย่างน้อย 12 สัปดาห์
- สำหรับเด็กอายุ 5 ขวบ ถึงไม่เกิน 12 ปี ที่เคยฉีดวัคซีน 2 เข็ม แล้วติดโควิด 19 ยังไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเพิ่ม
- สำหรับเด็กอายุ 5 ขวบ ถึงไม่เกิน 12 ปี ที่ฉีดวัคซีนสูตรเด็กเข็มที่ 1 ไปแล้ว และมีอายุครบ 12 ปี หลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ สูตรเด็ก ฝาสีส้ม ขนาด 10 ไมโครกรัม อย่างไรก็ตาม หากได้รับเข็มที่ 2 เป็นสูตรสำหรับผู้ใหญ่และวัยรุ่น (ขนาด 30 ไมโครกรัม) ไปแล้ว ก็ถือว่าได้รับวัคซีนเช่นกัน
- สำหรับเด็กและวัยรุ่นที่เคยฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตาย เช่น ซิโนแวค หรือซิโนฟาร์ม ครบแล้ว 2 เข็ม แนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับการรับรองตามช่วงอายุอีก 1 เข็ม โดยเว้นระยะห่างอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ภายหลังการฉีดเข็มที่ 2
- เด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงหรือเสียชีวิตหากติดโควิด 19 จำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ทุกราย
แม้เด็กอายุ 5-11 ขวบ จะไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงที่ติดโควิดแล้วจะมีอาการหนัก หรือเสี่ยงเสียชีวิต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กที่ติดโควิดจะมีอาการ Long Covid ซึ่งกระทบกับสุขภาพในระยะยาว อีกทั้งยังมีรายงานพบภาวะ MIS-C หรือภาวะที่เกิดการอักเสบหลายระบบในร่างกายของเด็ก ซึ่งก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย
ขณะที่ข้อมูลผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ พบว่า อัตราผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโอมิครอนกำลังเพิ่มสูงขึ้นกว่าการระบาดในสายพันธุ์ที่ผ่านมา เนื่องจากโอมิครอนแพร่กระจายได้เร็วกว่า และเด็กส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ดังนั้นผู้ปกครองลองพิจารณาความเสี่ยงจากการติดโควิด 19 และการฉีดวัคซีนโควิดในบุตรหลานกันดูนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนไฟเซอร์
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565
ขอบคุณข้อมูลจาก
fda.gov (1), (2)
cdc.gov (1), (2)
businessinsider.com (1), (2)
usnews
ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (1), (2)