แก้วมังกร ผลไม้ของสายเฮลธ์ตี้ แต่จะเลือกกินแก้วมังกร สีไหนดี หรือต้องรับประทานอย่างไรถึงได้คุณค่าจากสารอาหารแบบเต็ม ๆ
แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอร่อย อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จะกินเป็นผลไม้ลดน้ำหนัก ก็ยังได้ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่า ควรกินในปริมาณเท่าไรถึงเหมาะสม ไม่ทำให้อ้วน หรือต้องรับประทานอย่างไรถึงได้ประโยชน์สูงสุดจากสารอาหารในแก้วมังกร ใครชอบผลไม้สีแปลกตาลูกนี้ ตามมาอ่านต่อเลย
ประโยชน์ของแก้วมังกร
แก้วมังกรมีคุณประโยชน์อันหลากหลาย อาทิ
- เต็มเปี่ยมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แมกนีเซียม ที่ดีต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ และช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟลาโวนอยด์ กรดฟีนอลิก เบตาไซยานิน ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- มีไฟเบอร์ที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก กระตุ้นการทำงานของลำไส้ และป้องกันโรคเกี่ยวกับลำไส้
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะแก้วมังกรมีแคลอรีต่ำ น้ำตาลไม่สูงมาก และยังมีใยอาหารสูง เมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกอิ่มนานขึ้น
- บำรุงผิวพรรณ เพราะมีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีมีความสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน
แก้วมังกรอ้วนไหม กินได้แค่ไหน
แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีกากใยไฟเบอร์อยู่พอตัว ช่วยให้อิ่มนาน อีกทั้งมีน้ำตาลน้อย แคลอรีต่ำ แทบไม่มีไขมันเลย โดย 1 ลูก (น้ำหนัก 100 กรัม) ให้พลังงานประมาณ 66 กิโลแคลอรี จึงเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารชนิดใดมากเกินไปก็อาจทำให้อ้วนได้เช่นกัน อย่างที่กระทรวงสาธารณสุขเคยแนะนำว่า ควรกินแก้วมังกรพอประมาณ คือวันละไม่เกิน 1 ลูก และไม่ควรกินซ้ำซาก เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลากหลายชนิด
วิธีกินแก้วมังกรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
1. เลือกสีของเนื้อแก้วมังกร
แก้วมังกรมีทั้งเนื้อสีขาว เนื้อสีแดง เนื้อสีเหลือง ซึ่งให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก อย่างไรก็ตาม แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกันออกไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนี้
- แก้วมังกรสีขาว : แก้วมังกรเปลือกสีชมพู เนื้อสีขาว เป็นสายพันธุ์ที่หารับประทานได้ง่ายที่สุด มีสารอาหารหลากหลาย เช่น วิตามินซี ไฟเบอร์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ต้านการอักเสบ รสชาติของแก้วมังกรเนื้อขาวจะไม่หวานมาก คนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ควบคุมไขมัน หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างคนที่เป็นเบาหวานสามารถรับประทานได้
- แก้วมังกรสีแดง สีแดงอมม่วง : แก้วมังกรเปลือกสีชมพู เนื้อสีแดง มีรสชาติหวานจัด หารับประทานยากกว่าเนื้อสีขาว สารอาหารต่าง ๆ ก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่ที่โดดเด่นก็คือ มีสารไลโคปีน (Lycopene) และเบตาไซยานิน (Betacyanin) ที่เป็นสารในกลุ่มเบตาเลน (Betalain) ซึ่งมักพบในพืชสีแดง ล้วนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย จึงส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
- แก้วมังกรสีเหลือง : แก้วมังกรเปลือกสีเหลือง เนื้อสีขาว เป็นสายพันธุ์ที่มีกลิ่นหอมและหวานฉ่ำที่สุด แต่ก็หายากเช่นกัน ส่วนใหญ่มาจากประเทศเอกวาดอร์และอิสราเอล จึงมีราคาแพงกว่าแก้วมังกรสีอื่น ทว่าสารอาหารที่ได้รับจะไม่ค่อยแตกต่างกับแก้วมังกรเปลือกชมพู เนื้อขาว
ทั้งนี้ หากเราต้องการสารอาหารประเภทไหนเป็นพิเศษก็สามารถเลือกรับประทานแก้วมังกรสีนั้น ๆ หรือรับประทานสลับ ๆ กันไป เพื่อให้ได้คุณค่าทางสารอาหารที่หลากหลายก็ดีค่ะ แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด แนะนำให้รับประทานสีขาวที่มีรสหวานน้อยกว่าสีอื่น ๆ น่าจะดีกว่า
2. เลือกแก้วมังกรที่สุกแล้ว
ควรรับประทานแก้วมังกรที่สุกเต็มที่ซึ่งจะมีรสชาติหวานอร่อยและให้คุณค่าทางสารอาหารดีที่สุด วิธีเลือกซื้อก็คือ มองหาแก้วมังกรที่มีเปลือกสีแดงชมพู ไม่มีสีเขียวปน ผิวเปลือกเต่งตึง ไม่มีจุดสีน้ำตาลแห้ง ไม่มีรอยฟกช้ำ ตรงกลีบควรเป็นสีแดง มีสีเขียวไม่มาก เมื่อกดที่เปลือกเบา ๆ จะรู้สึกนิ่มเล็กน้อย แต่ถ้ากดแล้วนิ่มเกินไปแสดงว่าสุกเกินไป เนื้อสัมผัสจะไม่ค่อยดี
3. รับประทานทันที ไม่เก็บไว้นานเกินไป
แม้ว่าแก้วมังกรสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน 5-7 วัน แต่แนะนำให้รับประทานทันทีที่ซื้อมาจะดีกว่าค่ะ เพื่อให้ได้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด อีกทั้งสารอาหารต่าง ๆ ยังไม่สูญสลายไปตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
ยกเว้นว่าแก้วมังกรที่ซื้อมายังไม่นิ่มมาก แสดงว่ายังไม่สุกดี ก็สามารถรอสัก 2-3 วัน เพื่อให้แก้วมังกรสุกเต็มที่ค่อยรับประทาน
4. รับประทานแก้วมังกรแบบสด ๆ
แก้วมังกรที่ไม่ผ่านความร้อนจะยังคงคุณค่าของวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ เอาไว้ได้มากที่สุด เพียงแต่ต้องล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน สำหรับคนที่เบื่อกินแบบผลไม้เพียว ๆ ก็สามารถนำแก้วมังกรมาใส่ในสลัดผัก สลัดผลไม้ ปั่นเป็นสมูทตี้ หรือกินกับโยเกิร์ต เมล็ดเจีย เมล็กแฟลกซ์ ก็อร่อยไปอีกแบบ
5. เคี้ยวเมล็ดสีดำในเนื้อแก้วมังกร
นอกจากจะเคี้ยวเนื้อแก้วมังกรแล้ว อย่าลืมเคี้ยวเมล็ดสีดำให้แตกด้วยนะคะ เพราะเมล็ดเล็ก ๆ นี่แหละซ่อนสารอาหารอยู่เต็มเปี่ยม ทั้งไฟเบอร์ที่ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันดี อย่างกรดไขมันลิโนเลนิกในกลุ่มโอเมก้า 3 และกรดไขมันไลโนเลอิกในกลุ่มโอเมก้า 6 ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ หากเราเคี้ยวเมล็ดก็จะช่วยสลายเปลือกเมล็ดให้แตกออก ทำให้สารอาหารสามารถดูดซึมไปใช้ได้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นแก้วมังกรสีแดง สีม่วง สีเหลือง สีขาว ล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่ดีต่อร่างกายของเรา ใครชอบกินผลไม้ชนิดนี้ก็สามารถรับประทานได้ในปริมาณที่เหมาะสมคือไม่เกินวันละ 1 ลูก และควรรับประทานผัก-ผลไม้ชนิดอื่นควบคู่กันไปด้วยนะ
บทความที่เกี่ยวข้องกับแก้วมังกร
ขอบคุณข้อมูลจาก : สสส., กรมอนามัย, วารสารวิทยาศาสตร์ คชสาส์น, webmd.com, healthline.com, pharmeasy.in