RSV เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่ระบาดมากในเด็กเล็ก แต่ผู้ใหญ่เองก็ติดเชื้อไวรัส RSV ได้เหมือนกัน ส่วนอาการจะเป็นยังไง โรคนี้คืออะไรกันแน่ มาลองทำความรู้จักกันหน่อย ไวรัส RSV ที่กำลังระบาดอย่างหนักในเด็ก จริง ๆ แล้วผู้ใหญ่ก็ติดเชื้อนี้ได้ และอาจเป็นพาหะนำโรคสู่เด็ก ๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท และเพื่อให้เราสังเกตอาการ RSV ได้ทัน อยากพามารู้จักกับโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสชนิดนี้สักหน่อยค่ะ จะมีอะไรที่เราควรรู้เกี่ยวกับโรค RSV บ้าง จากบรรทัดด้านล่างจะเป็นคำตอบให้คุณ ไวรัส RSV ย่อมาจาก Respiratory Syncytial Virus มีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ RSV สายพันธุ์ A และ RSV สายพันธุ์ B เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง โดยไวรัสนี้ถือกำเนิดมาหลายสิบปีแล้ว แต่เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กเล็กป่วยโรคติดเชื้อไวรัส RSV มีการระบาดมาก และมักจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงในเด็ก โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) พบได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เช่น ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัว จะป่วยได้ง่าย และมีอาการรุนแรงกว่าวัยผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันสูง ซึ่งหากผู้ใหญ่ติดเชื้อก็จะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น เจ็บคอ มีน้ำมูก ไอ แต่ภายใน 3-5 วันก็จะหายเองได้ เพียงแค่ระหว่างที่ป่วยควรระวังการแพร่เชื้อให้กับเด็กหรือคนที่มีร่างกายอ่อนแอกว่าด้วย เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในระบบทางเดินหายใจ จึงติดต่อได้ง่ายผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะที่มีเชื้อ RSV เข้าไป เช่น ละอองจากการไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยบนพื้นผิวโต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิด ของเล่น โทรศัพท์ หรือพื้นผิวสัมผัสได้บ่อยอื่น ๆ ทั้งนี้ เชื้อไวรัส RSV สามารถอยู่บนพื้นผิวได้หลายชั่วโมง อยู่บนมือเราได้นานประมาณ 30 นาที และหากป่วยแล้วจะสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้นาน 3-8 วัน หลังมีอาการป่วย แต่ในเด็กเล็กหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจแพร่เชื้อได้นานถึง 3-4 สัปดาห์ อาการ RSV จะเริ่มแสดงหลังร่างกายได้รับเชื้อไปแล้ว 4-6 วัน โดยเริ่มแรกจะมีอาการเหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ตามด้วยอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ เสมหะมากและมีลักษณะเหนียวข้น แต่หากอาการรุนแรงจะหายใจหอบเหนื่อย อกบุ๋ม ได้ยินเสียงปอดผิดปกติ หายใจมีเสียงหวีด รับประทานอาหารได้น้อย ซึมลง และอาจมีอาการปอดอักเสบร่วมด้วย อย่างที่บอกว่า อาการ RSV ในระยะแรกอาจคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่สิ่งที่ต่างออกไปและทำให้แยกโรคได้ว่าป่วยเป็นหวัดหรือ RSV ก็คือ หากป่วย RSV เสมหะจะเยอะ ร่วมกับมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ว่ามีภาวะหลอดลมตีบหรือหลอดลมฝอยอักเสบ อันเป็นลักษณะจำเพาะของโรค RSV เนื่องจากเชื้อไวรัสจะลุกลามไปที่ปอด ในเคสที่ติดเชื้อ RSV และมีอาการค่อนข้างรุนแรง เช่น มีไข้สูง เบื่ออาหาร ไม่ยอมกินข้าว ซึม เด็กไม่เล่นเหมือนเก่า หายใจเร็วกว่าปกติ หายใจมีเสียงหวีด หงุดหงิดง่าย ควรพาไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์ก็อาจให้นอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดได้ ในกรณีที่ติดเชื้อ RSV และมีอาการไม่รุนแรง คล้ายโรคหวัด เช่น มีไข้เล็กน้อย ไอ จาม ไม่มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ หรือหายใจมีเสียงหวีด ไม่ซึมมาก กินอาหารได้ตามปกติ ก็สามารถรักษาตามอาการที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล และอาการจะหายได้ภายใน 5-7 วัน แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรพาไปพบแพทย์โดยด่วนนะคะ ณ ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) โดยตรง ยังคงต้องรักษาไปตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย แม้อาการแรกเริ่มของโรค RSV จะไม่น่ากลัวเท่าไร แต่หากรักษาไม่ทันเพราะชะล่าใจคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา อาจมีอาการรุนแรงไปถึงปอดอักเสบ หรือปอดบวมได้ ซึ่งหากภาวะนี้เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมไปถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด เด็กที่คลอดก่อนกำหนด ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้ระบบหายใจล้มเหลวจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้เลย หากพบว่าลูกติดเชื้อ RSV ให้ดูแลรักษาไปตามอาการ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ไม่ให้ถูกอากาศเย็น ดื่มน้ำบ่อย ๆ รับประทานยาแก้แพ้ ยาละลายเสมหะ หรือพยายามให้ลูกไอเพื่อขับเสมหะออกมา นอกจากนี้ควรให้ลูกอยู่แต่บ้าน งดพาไปโรงเรียนหรือที่สาธารณะประมาณ 5-7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติดี เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อ RSV ด้วย เนื่องจากไวรัส RSV มีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B นอกจากนี้ยังอาจพบสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ ได้อีก ดังนั้นจึงมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ แม้จะเคยป่วยและหายแล้วก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV โดยตรง ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยและสุขภาพของตัวเอง เราสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ได้ไม่ยาก ถ้าทุกคนปฏิบัติตามนี้ - หมั่นล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร ก่อนจับหน้า จับปาก หรือขยี้ตา - หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด - ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นเด็กเป็นประจำ - หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็กเล็ก เพราะจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะติดเชื้อ RSV และมีอาการรุนแรงได้ง่าย หากได้รับควันบุหรี่เข้าไป - รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ - ถือคติ กินร้อน ช้อนใครช้อนมัน หมั่นล้างมือ ไม่ใช้แก้วร่วมกับผู้อื่น - ดื่มน้ำมาก ๆ - พักผ่อนให้เพียงพอ - หลีกเลี่ยงการอยู่ห้องแอร์ตลอดเวลา - หากพบว่าลูกไม่สบาย มีอาการคล้ายเป็นหวัด ควรให้ลูกอยู่กับบ้าน งดพาไปโรงเรียนหรือไปเจอเด็กคนอื่น - ผู้ใหญ่ที่มีอาการป่วย แม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรเข้าใกล้เด็กเล็ก เพราะอาจพาเชื้อ RSV ไปสู่เด็กได้ โรคติดเชื้อไวรัส RSV มักจะระบาดหนักในช่วงปลายฝนต้นหนาวของทุกปี และแม้จะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่เราก็สามารถป้องกันการติดเชื้อได้โดยรักษาสุขอนามัยของตัวเอง ของบุตรหลาน และหมั่นสังเกตอาการป่วยของเด็กเล็ก ๆ อยู่ตลอด หรือใครกังวลว่าลูกจะติดไวรัส RSV หรือยัง ก็สามารถพาไปตรวจการติดเชื้อที่โรงพยาบาลได้นะคะ ไวรัส RSV คืออะไร พร้อมวิธีสังเกตอาการ และป้องกันลูกน้อยจากไวรัส RSV อุทาหรณ์คนแก่อยู่ใกล้เด็กเป็นหวัด ป่วยเป็น RSV อาการหนัก ฝ้าเต็มปอด ภัยที่น่ากลัว ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก นพ.ยง ภู่วรวรรณ, กรมควบคุมโรค, รามา แชนแนล, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย, เฟซบุ๊ก เภสัชแม่ลูกอ่อน
แสดงความคิดเห็น