องค์การอนามัยโลกแถลงให้สถานการณ์ไข้ซิกา เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ หลังพบผลกระทบที่เกิดในเด็กทารกแรกคลอดจากครรภ์มารดาที่ติดเชื้อซิกา
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้แถลงประกาศให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสซิกาในหลายประเทศ เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ หลังเสร็จสิ้นการประชุมวาระฉุกเฉินเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
โดยรายงานระบุว่า ภาวะฉุกเฉินดังกล่าวถูกประกาศ เนื่องจากมีการพิจารณากันแล้วว่า ไวรัสซิกาซึ่งมีพาหะนำโรคเป็นยุงลายสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วมาก และมันยังส่งผลกระทบต่อเด็กแรกเกิดที่คลอดออกมาแล้วมีศีรษะเล็กกว่าปกติ หรือที่เรียกว่าภาวะ microcephaly
ภาวะศีรษะเล็ก เป็นหนึ่งในอาการของกลุ่มโรคจีบีเอส หรือกลุ่มโรคกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barre syndrome) ที่อาจส่งผลให้ทารกมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง และในบางรายที่เป็นหนักอาจถึงขั้นอัมพาต ซึ่งนายแพทย์บรูซ ไอล์วอร์ด จาก WHO พบว่ามีเด็กทารกหลายรายในพื้นที่ระบาดกำลังประสบภาวะดังกล่าวอย่างรุนแรง ได้แก่ ทารกในเขตประเทศเอลซัลวาดอร์ บราซิล และเฟรนช์โปลินีเซีย
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า ภาวะศีรษะเล็กในเด็กแรกคลอดนั้นมีความเกี่ยวข้องกับไวรัสซิกาจริงหรือไม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายรายต่างเห็นพ้องต้องกันว่ามันน่าจะเป็นความสัมพันธ์อันซับซ้อน ระหว่างการติดเชื้อไวรัสซิกาในหญิงมีครรภ์ และทารกที่คลอดออกมาโดยมีศีรษะเล็กกว่าปกติ
ด้านนายแพทย์บรูซ ไอล์วอร์ด ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โดยตัวของไวรัสซิกาเองแล้ว ไม่ได้ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนักหนาสาหัสมากแต่อย่างใด แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือผลกระทบของมันที่มีต่อทารกในครรภ์มากกว่า
ทั้งนี้ พบว่าไวรัสซิกากำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในหลายพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการคาดคะเนว่าอาจมีผู้ติดเชื้อไข้ซิกามากถึง 3-4 ล้านราย ภายในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่องค์การแพนสุขภาพอเมริกัน (PAHO) ได้เพิ่มประเทศคอสตาริกา และประเทศจาเมกา ลงในรายชื่อประเทศที่มีการแพร่ระบาดของโรคซิกา โดยขณะนี้มีอยู่ทั้งสิ้น 28 ประเทศด้วยกัน
สำหรับความกังวลถัดมาของประเทศบราซิล คือการรับมือกับไวรัสซิกาให้ดีที่สุด ก่อนจะถึงกำหนดการงานแข่งกีฬาระดับโลกอย่าง โอลิมปิกเกมส์ ในช่วงฤดูร้อนที่จะถึงนี้ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ของกรุงริโอ เดอ จาเนโร
อัพเดทข่าว ไวรัสซิกา ทั้งหมด
ข้อมูลจาก สำนักข่าว INN