ชมพู่ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นอย่างไร
ชมพู่เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงราว 5-20 เมตร เปลือกลำต้นสีน้ำตาลหรือเทา ลักษณะเรียบหรือขรุขระ มักแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณใกล้กับโคนต้น ใบเป็นใบเดี่ยวหนา ผิวด้านหลังใบเป็นมันสีเขียวเข้ม ปนแดงหรือม่วง ส่วนดอกจะออกตามใบ มีชั้นกลีบเลี้ยงจำนวน 4-5 ใบ เรียงติดกันเป็นรูปถ้วย เมื่อดอกบานชั้นกลีบดอกจะหลุดร่วงเป็นแผงคล้ายหมวก ข้างในจะมีเกสรตัวผู้จำนวนมาก พร้อมอับเกสรสีทองที่ปลายดอก ส่วนสีของดอกจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ชมพู่ โดยมีทั้งดอกสีขาว สีเหลืองชมพู แดง
ผลชมพู่ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมฐานกว้าง ผลครึ่งบนด้านขั้วจะค่อนข้างเล็ก แล้วขยายใหญ่ไปทางก้นผล มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตรงปลาย เมื่อผ่าครึ่งตามยาวผลชมพู่จะมีรูปร่างคล้ายจมูกคน
ผลยาวรี ตรงกลางคอด บริเวณปลายผลป่อง ผิวสีแดง เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ รสหวาน กลิ่นหอม ไม่มีเมล็ด
ผลยาวรี รูปกรวยแคบ ขั้วผลแคบกลมมน ก้นผลกว้าง พองออกเล็กน้อย เปลือกหนา สีแดงเข้ม เนื้อสีขาว กรอบ รสหวานอมฝาดเล็กน้อย

1. เป็นผลไม้น้ำตาลน้อย
ชมพู่ทับทิมจันทร์ น้ำหนัก 100 กรัม หรือ 1 ผลขนาดกลาง มีน้ำตาลประมาณ 7.7-7.9 กรัม หรือคิดเป็น 1.9-2 ช้อนชา ส่วนชมพู่มะเหมี่ยว มีน้ำตาล 5.8 กรัม หรือ 1.5 ช้อนชา ต่อน้ำหนัก 100 กรัม (ประมาณ 1 ผลขนาดกลาง) ชมพู่ทูลเกล้า 1 ผลขนาดใหญ่ น้ำหนัก 100 กรัม มีปริมาณน้ำตาล 7.9 กรัม หรือประมาณ 2 ช้อนชา เท่ากับปริมาณน้ำตาลในชมพู่เพชร ในน้ำหนักเท่ากัน
2. เป็นผลไม้ลดน้ำหนัก
นอกจากชมพู่จะเป็นผลไม้น้ำตาลต่ำแล้ว ยังเป็นผลไม้ลดน้ำหนัก ได้ด้วยเพราะให้พลังงานต่ำนั่นเอง โดยชมพู่ในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานราว ๆ 42 กิโลแคลอรี เท่านั้น อีกทั้งชมพู่ยังอุดมไปด้วยน้ำ กากใยอาหาร กินแล้วจะรู้สึกอิ่มได้นาน
3. ช่วยในการขับถ่าย
4. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

5. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
6. อุดมไปด้วยวิตามินบำรุงร่างกาย
ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีทั้งวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี อีกทั้งยังฉ่ำน้ำ รับประทานแล้วเพิ่มความสดชื่น เติมน้ำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และวิตามินเอก็มีส่วนช่วยบำรุงสายตา ส่วนวิตามินซีก็ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และลดความรุนแรงของโรคหวัด
7. เป็นยาบำรุงร่างกาย
ในประเทศอินเดียใช้ผลชมพู่เป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยฟื้นฟูและปกป้องสมองและตับ โดยมีการนำผลชมพู่มาชงหรือแช่น้ำดื่ม
ตามตำรับยาพื้นบ้านทั้งในและต่างประเทศ มีการนำส่วนต่าง ๆ ของต้นชมพู่มาใช้ประโยชน์มากมาย อาทิ
เปลือกชมพู่น้ำดอกไม้
- นำมาใช้เป็นยารักษาวัณโรค แก้อาการติดเชื้อในปาก แก้ปวดท้องและโรคในช่องท้อง ใช้เป็นยาถ่าย และเป็นยาพื้นบ้านรักษากามโรค
เปลือกต้น
- มีสารแทนนินอยู่ประมาณ 7-12.4% ซึ่งสามารถใช้เป็นยาสมานแผล แก้อาเจียน และเป็นยาระบายได้ นอกจากนี้ยังมีตำรับยาพื้นบ้านในต่างประเทศที่นำเปลือกต้นชมพู่ไปต้มเป็นยาบรรเทาโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการเสียงแหบ
ใบ
- ใช้แก้อาการตาแดง หรือนำใบมาต้มเป็นยาล้างแผลที่เกิดจากการติดเชื้อทางผิวหนัง และมีการนำไปใช้ร่วมกับยาสมุนไพรอื่น ๆ ในตำรับยาแก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้เบื่ออาหาร แก้ปวดกระดูก เบาหวาน โรคหนองใน แก้กระเพาะอาหารบวมหลังคลอด แก้เจ็บคอ โรคหลอดลมอักเสบ และบรรเทาอาการท้องผูก
เกสร
- ในต่างประเทศนำเกสรของดอกชมพู่มาใช้ลดไข้
เมล็ด
- นำไปใช้แก้ท้องร่วง แก้บิด และโรคหวัด
ราก
- ชาวคิวบาเชื่อว่ารากชมพู่มีประสิทธิภาพในการแก้โรคลมชัก

บทความที่เกี่ยวข้องกับผลไม้เพื่อสุขภาพ
- 7 ผลไม้เคลือบกระเพาะ กินอะไรดีเมื่อแสบท้องกระเพาะอาหาร
- กล้วยน้ำว้า สรรพคุณไม่ธรรมดา เป็นผลไม้มีฤทธิ์เป็นยาที่ควรกินให้ได้ทุกวัน
- 8 ผลไม้แก้เจ็บคอ อร่อยกว่ายายังไม่พอ ยังมีประโยชน์หลากหลาย !
- 10 ผลไม้ให้วิตามินซีสูงปรี๊ด สกัดหวัด เสริมภูมิคุ้มกัน
- ส่องผลไม้ให้พลังงานไม่เกิน 60 กิโลแคลอรี กินเท่านี้สิไม่อ้วน
สำนักโภชนาการ กรมอนามัย 1, 2
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
โรงพยาบาลเวชธานี
Thai PBS
โรงพยาบาลพญาไท
มูลนิธิสุขภาพไทย
โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวีฯ
kaset today
prayod.com