x close

ประโยชน์ของชมพู่ ผลไม้ลดน้ำหนัก เป็นเบาหวานก็กินได้

          ชมพู่ ผลไม้ที่หลายคนมองข้ามเพราะอาจจะยังไม่รู้สรรพคุณของผลไม้ชนิดนี้ดีนัก แต่ถ้าลองมารู้จักจะรีบหามากินเลยล่ะ
          อาจเพราะชมพู่เป็นผลไม้ตามฤดูกาล อีกทั้งรสชาติก็ไม่ได้หวานมาก หลายคนจึงไม่ค่อยกินชมพู่กันเท่าไร แต่รู้ไหมว่าผลไม้ชนิดนี้ประโยชน์ดีมากเลยนะ และไม่ว่าจะเป็นชมพู่ทับทิมจันทร์ ชมพู่มะเหมี่ยว ชมพู่แดง สรรพคุณก็ดีงามไปทุกพันธุ์ งั้นอย่ารอช้า มารู้จักชมพู่ให้มากขึ้นกันดีกว่า
ชมพู่ ผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากอินเดีย
          ชมพู่เป็นผลไม้เขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย โดยชมพู่มีชื่อภาษามาลายูว่า จามู แต่ในอดีตมีการเรียกชื่อเพี้ยนเป็นจัมบู กระทั่งกลายมาเป็นชมพู่ที่เรารู้จักกัน ส่วนภาษาอังกฤษของชมพู่นั้นเรียกกันว่า Rose apple ชมพู่เป็นผลไม้ในวงศ์ MYRTACEAE ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium jambos (L.) Alston

ชมพู่ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นอย่างไร

          ชมพู่เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงราว 5-20 เมตร เปลือกลำต้นสีน้ำตาลหรือเทา ลักษณะเรียบหรือขรุขระ มักแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณใกล้กับโคนต้น ใบเป็นใบเดี่ยวหนา ผิวด้านหลังใบเป็นมันสีเขียวเข้ม ปนแดงหรือม่วง ส่วนดอกจะออกตามใบ มีชั้นกลีบเลี้ยงจำนวน 4-5 ใบ เรียงติดกันเป็นรูปถ้วย เมื่อดอกบานชั้นกลีบดอกจะหลุดร่วงเป็นแผงคล้ายหมวก ข้างในจะมีเกสรตัวผู้จำนวนมาก พร้อมอับเกสรสีทองที่ปลายดอก ส่วนสีของดอกจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ชมพู่ โดยมีทั้งดอกสีขาว สีเหลืองชมพู แดง

          ผลชมพู่ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยมฐานกว้าง ผลครึ่งบนด้านขั้วจะค่อนข้างเล็ก แล้วขยายใหญ่ไปทางก้นผล มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตรงปลาย เมื่อผ่าครึ่งตามยาวผลชมพู่จะมีรูปร่างคล้ายจมูกคน
ชมพู่

ชมพู่มีกี่สายพันธุ์
          ชมพู่มีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ โดยพันธุ์พื้นเมือง ได้แก่
ชมพู่มะเหมี่ยว
          ผลสีแดงเข้ม เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ มีเมล็ดขนาดใหญ่ รสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมคล้ายดอกกุหลาบ
ชมพู่สาแหรก
          ลักษณะคล้ายชมพู่มะเหมี่ยวแต่ขนาดผลเล็กกว่า บริเวณปลายกลีบยื่นออกมาคล้ายกับปาก เนื้อออกสีขาวขุ่น รสหวานฉ่ำน้ำ
ชมพู่แก้มแหม่ม
          ผลสีขาวออกชมพู เนื้อนุ่ม มีไส้เป็นปุย กลิ่นหอมแต่ไม่หวาน
ชมพู่พลาสติก หรือชมพู่แก้ว
          ผลขนาดเล็กสีแดงสด เนื้อน้อย มีรสเปรี้ยว มักปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับตามบ้านมากกว่ากินเป็นผลไม้
ชมพู่น้ำดอกไม้
          เป็นชมพู่ผลกลม ภายในผลกลวง ที่ก้นผลมีกลีบ มองดูคล้ายดอกไม้ ผลดิบสีเขียวเข้ม ผลสุกสีเขียวอ่อน มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำดอกไม้
          นอกจากนี้ยังมีชมพู่ที่ถูกนำมาปรับปรุงพันธุ์เพื่อการค้า ได้แก่
ชมพู่เพชรสุวรรณ
           ผิวสีเขียวอมแดง เนื้อหนากรอบ ฉ่ำน้ำ รสหวาน
ชมพู่เพชรสายรุ้ง
           เป็นการผสมพันธุ์ระหว่างชมพู่กะหลาป๋าของอินโดนีเซีย กับชมพู่แดงของไทย ทำให้ได้ชมพู่ที่มีรสหวาน กรอบ รูปทรงคล้ายระฆังคว่ำ ตรงกลางผลป่องเล็กน้อย ผิวเปลือกสีเขียว เวลาแก่จัดจะเห็นเส้นริ้วสีแดงที่ผิวชัดเจน เนื้อแข็ง กรอบ รสหวานมากกว่าชมพู่ทุกสายพันธุ์ จึงมีราคาแพงที่สุดในบรรดาชมพู่ด้วยกัน
ชมพู่ทับทิมจันทร์

           ผลยาวรี ตรงกลางคอด บริเวณปลายผลป่อง ผิวสีแดง เนื้อกรอบ ฉ่ำน้ำ รสหวาน กลิ่นหอม ไม่มีเมล็ด

ชมพู่ทูลเกล้า
           เป็นชมพู่สีเขียวอ่อน รูปกรวยแคบ ผลยาวรีทรงสูงกว่าพันธุ์อื่น ๆ ขั้วผลแคบกลมมน ก้นผลกว้าง พองออกเล็กน้อย ผิวเรียบ สีเขียวอ่อน เนื้อในสีขาวออกเขียว เนื้อหนา กรอบ ฉ่ำน้ำ มีกลิ่นหอม ไม่มีเมล็ด
ชมพู่เพชรน้ำผึ้ง

           ผลยาวรี รูปกรวยแคบ ขั้วผลแคบกลมมน ก้นผลกว้าง พองออกเล็กน้อย เปลือกหนา สีแดงเข้ม เนื้อสีขาว กรอบ รสหวานอมฝาดเล็กน้อย

ประโยชน์ของชมพู่ สรรพคุณดีอย่างไร
ชมพู่

          ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีแทบทุกฤดูกาล ราคาไม่แพงมาก รสชาติก็หวานอร่อย พร้อมด้วยประโยชน์ต่าง ๆ ตามนี้

1. เป็นผลไม้น้ำตาลน้อย

          ชมพู่ทับทิมจันทร์ น้ำหนัก 100 กรัม หรือ 1 ผลขนาดกลาง มีน้ำตาลประมาณ 7.7-7.9 กรัม หรือคิดเป็น 1.9-2 ช้อนชา ส่วนชมพู่มะเหมี่ยว มีน้ำตาล 5.8 กรัม หรือ 1.5 ช้อนชา ต่อน้ำหนัก 100 กรัม (ประมาณ 1 ผลขนาดกลาง) ชมพู่ทูลเกล้า 1 ผลขนาดใหญ่ น้ำหนัก 100 กรัม มีปริมาณน้ำตาล 7.9 กรัม หรือประมาณ 2 ช้อนชา เท่ากับปริมาณน้ำตาลในชมพู่เพชร ในน้ำหนักเท่ากัน
 

15 ผลไม้น้ำตาลน้อย อร่อยแบบสุขภาพดี

2. เป็นผลไม้ลดน้ำหนัก

          นอกจากชมพู่จะเป็นผลไม้น้ำตาลต่ำแล้ว ยังเป็นผลไม้ลดน้ำหนัก ได้ด้วยเพราะให้พลังงานต่ำนั่นเอง โดยชมพู่ในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานราว ๆ 42 กิโลแคลอรี เท่านั้น อีกทั้งชมพู่ยังอุดมไปด้วยน้ำ กากใยอาหาร กินแล้วจะรู้สึกอิ่มได้นาน
 

ผลไม้ลดน้ำหนัก 13 ตัวช่วย อยากหุ่นสวยกระชับห้ามพลาด !

3. ช่วยในการขับถ่าย

          ชมพู่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและชนิดไม่ละลายน้ำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย

4. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

ชมพู่

          ชมพู่ที่มีผิวสีแดงอย่างชมพู่สาแหรก ชมพู่พลาสติก ชมพู่ทับทิมจันทร์ จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า ไลโคปีน (Lycopene) และชมพู่ที่มีผิวสีแดงเข้มไปจนถึงม่วงอย่างชมพู่มะเหมี่ยว จะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพดีด้วยกันทั้งคู่

5. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด

          ไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำในชมพู่มีคุณสมบัติลดการดูดซึมไขมันในระบบทางเดินอาหาร ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดได้อีกทาง อีกทั้งในชมพู่ยังอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ โพแทสเซียม สารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยบำรุงหลอดเลือดและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้

6. อุดมไปด้วยวิตามินบำรุงร่างกาย

          ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีทั้งวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี อีกทั้งยังฉ่ำน้ำ รับประทานแล้วเพิ่มความสดชื่น เติมน้ำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และวิตามินเอก็มีส่วนช่วยบำรุงสายตา ส่วนวิตามินซีก็ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และลดความรุนแรงของโรคหวัด

7. เป็นยาบำรุงร่างกาย

          ในประเทศอินเดียใช้ผลชมพู่เป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยฟื้นฟูและปกป้องสมองและตับ โดยมีการนำผลชมพู่มาชงหรือแช่น้ำดื่ม

ประโยชน์ของชมพู่ส่วนอื่น ๆ

          ตามตำรับยาพื้นบ้านทั้งในและต่างประเทศ มีการนำส่วนต่าง ๆ ของต้นชมพู่มาใช้ประโยชน์มากมาย อาทิ

เปลือกชมพู่น้ำดอกไม้

  • นำมาใช้เป็นยารักษาวัณโรค แก้อาการติดเชื้อในปาก แก้ปวดท้องและโรคในช่องท้อง ใช้เป็นยาถ่าย และเป็นยาพื้นบ้านรักษากามโรค

เปลือกต้น

  • มีสารแทนนินอยู่ประมาณ 7-12.4% ซึ่งสามารถใช้เป็นยาสมานแผล แก้อาเจียน และเป็นยาระบายได้ นอกจากนี้ยังมีตำรับยาพื้นบ้านในต่างประเทศที่นำเปลือกต้นชมพู่ไปต้มเป็นยาบรรเทาโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการเสียงแหบ

ใบ

  • ใช้แก้อาการตาแดง หรือนำใบมาต้มเป็นยาล้างแผลที่เกิดจากการติดเชื้อทางผิวหนัง และมีการนำไปใช้ร่วมกับยาสมุนไพรอื่น ๆ ในตำรับยาแก้ไอ ขับปัสสาวะ แก้เบื่ออาหาร แก้ปวดกระดูก เบาหวาน โรคหนองใน แก้กระเพาะอาหารบวมหลังคลอด แก้เจ็บคอ โรคหลอดลมอักเสบ และบรรเทาอาการท้องผูก

เกสร

  • ในต่างประเทศนำเกสรของดอกชมพู่มาใช้ลดไข้

เมล็ด

  • นำไปใช้แก้ท้องร่วง แก้บิด และโรคหวัด

ราก

  • ชาวคิวบาเชื่อว่ารากชมพู่มีประสิทธิภาพในการแก้โรคลมชัก
ชมพู่ เป็นเบาหวานกินได้ไหม
ชมพู่

          จากการศึกษาพบว่า ในชมพู่มีส่วนประกอบทางเคมีที่ชื่อว่า 5-O-methyl-4′-desmethoxymatteucinol ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือด และยังมีสารที่ชื่อว่าแจมโบไซน์ (Jambosine) คอยช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งชมพู่ยังเป็นผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index : GI) อยู่ที่ <=55 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำด้วย ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงสามารถรับประทานได้ แต่ควรจำกัดปริมาณให้ไม่เกินมื้อละ 1-2 ผล
 ชมพู่ คนท้องกินได้ไหม
          ในช่วงตั้งครรภ์ควรต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อไม่ให้เสี่ยงโรคเบาหวาน ซึ่งชมพู่ก็เป็นผลไม้ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ รสไม่หวานจัด ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ ดังนั้นคนท้องกินชมพู่ได้นะคะ แต่ก็ควรจำกัดปริมาณไม่ให้มากจนเกินไป และควรรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพอื่น ๆ ให้หลากหลาย เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วน
          ผลไม้อย่างชมพู่ก็มีประโยชน์ที่น่าสนใจไม่น้อย และหากินได้ไม่ยาก ถ้าเจอเมื่อไรก็อย่าลืมซื้อมารับประทานเพื่อสุขภาพที่ดีกันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้องกับผลไม้เพื่อสุขภาพ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ประโยชน์ของชมพู่ ผลไม้ลดน้ำหนัก เป็นเบาหวานก็กินได้ อัปเดตล่าสุด 13 กันยายน 2564 เวลา 09:15:13 77,896 อ่าน
TOP