โอมิครอน (Omicron) เป็นภาษากรีก หรือบางคนอ่านว่า โอไมครอน ตามภาษาอังกฤษ คือสายพันธุ์ใหม่ของโรคโควิด 19 มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า B.1.1.529 ถูกพบครั้งแรกในทวีปแอฟริกา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ก่อนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จะจัดให้สายพันธุ์โอมิครอนอยู่ในรายชื่อเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variants of Concern) เป็นลำดับที่ 5 ต่อจากอัลฟา, เบตา, แกมมา และเดลตา
ทั้งนี้ เนื่องจากพบว่าไวรัสตัวนี้มีการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง รวมถึงมีการกลายพันธุ์ของโปรตีนบนส่วนหนามของไวรัสถึง 32 ตำแหน่ง และยังกลายพันธุ์ที่ส่วนตัวรับ (receptor binding domain) ซึ่งไวรัสใช้จับยึดกับเซลล์ของคนเราถึง 10 ตำแหน่ง มากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ
นอกเหนือจากศักยภาพในการระบาดอย่างรวดเร็วแล้ว สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังแสดงความกังวลคือ ประสิทธิภาพในการกลายพันธุ์ที่สูงผิดปกติ ทำให้สามารถแพร่กระจายเชื้อได้มากกว่า และอาจหลบหลีกต่อภูมิคุ้มกันได้ด้วย
จากข้อมูลผู้ป่วยโควิดที่ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน พบว่าส่วนใหญ่มีอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ และบางคนอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ไม่พบการสูญเสียการรับรสหรือรับกลิ่น และส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
อย่างไรก็ตาม ทีมศึกษาวิจัยจากอังกฤษยังพบว่าผู้ป่วยสายพันธุ์โอมิครอนจะมีอยู่ 8 อาการที่เป็นสัญญาณว่าติดเชื้อโอมิครอน คือ
- เจ็บคอ (อาจมีไอแห้ง)
- น้ำมูกไหล
- จาม
- อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
- เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน และอาจทำให้เสื้อผ้าชุ่มด้วยเหงื่อจนต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้ว่าจะนอนในห้องแอร์ก็ตาม
- ปวดหลังส่วนล่าง
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบอาการสายพันธุ์โอมิครอน กับ เดลตา สายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน จะเห็นว่าไม่ค่อยต่างกันมากนัก เพราะผู้ป่วยสายพันธุ์เดลตามักมีอาการคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป และไม่ค่อยพบการสูญเสียการรับรสเช่นเดียวกัน
ดังนั้น อาจต้องสังเกตอาการเหงื่อออกในตอนกลางคืนและปวดหลังส่วนล่างเพิ่มเติม เพื่อแยกว่าติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนหรือไม่ แต่เพื่อความแน่ใจแพทย์จะเป็นผู้ส่งตรวจหาเชื้อเพื่อยืนยันสายพันธุ์
ในส่วนของประเทศไทย จากข้อมูล ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2564 พบผู้ป่วยสายพันธุ์โอมิครอนมีอาการน้อยจนถึงไม่มีอาการ 90%, ผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อย 10% และผู้ป่วยที่มีอาการมาก 3-4%
ทั้งนี้ หากศึกษาจากผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่มีอาการ 41 ราย พบอาการมาก-น้อยตามลำดับ คือ
- ไอ 54%
- เจ็บคอ 37%
- ไข้ 29%
- ปวดกล้ามเนื้อ 15%
- มีน้ำมูก 12%
- ปวดศีรษะ 10%
- หายใจลำบาก 5%
- ได้กลิ่นลดลง 2%
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์รักษามีเพียง 10 ราย ทั้งหมดมีอาการดีขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมง หลังได้รับยา และให้ยาจนครบ 5 วัน
เชื้อโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์ที่ผ่านมา 2-5 เท่า และอาจจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักแทนที่เดลตาในอนาคต หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 73% ภายใน 1 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม เท่าที่พบผู้ป่วยในต่างประเทศ ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อยคล้ายโรคหวัด หลายคนจึงไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยข้อมูลผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศอังกฤษ เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเพียง 20-25% น้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา ที่ผู้ป่วยต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลถึง 50% ส่วนอัตราการเสียชีวิตปัจจุบันยังไม่สูงมากนัก และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด 19
ขณะที่ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง พบว่า สายพันธุ์โอมิครอนทำให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณหลอดลมและเพิ่มจำนวนได้เร็วกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ โดยเร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาประมาณ 70 เท่า แต่กลับพบการติดเชื้อที่ปอดน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา และมีการเพิ่มจำนวนที่เซลล์เนื้อปอดได้ช้ากว่า นั่นจึงทำให้สายพันธุ์โอมิครอนแพร่เร็ว เพราะเชื้อมักชุกชุมในทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งแพร่กระจายไปยังผู้คนรอบข้างได้ง่าย
ทั้งนี้จากข้อมูลดังกล่าวแสดงว่า สายพันธุ์โอมิครอนอาจมีความรุนแรงน้อยกว่าเดลตา ทว่าก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะโอมิครอนมีความสามารถหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีน และภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อมาก่อน ดังนั้นจึงยังต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อโอมิครอน
เนื่องจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีการกลายพันธุ์หลายจุด จึงอาจลดประสิทธิภาพของวัคซีนโควิดที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันไปบ้าง เพราะมีข้อมูลพบว่าผู้ป่วยจำนวนหนึ่งได้รับวัคซีนครบแล้ว 2 เข็ม แต่ก็ยังติดเชื้อสายพันธุ์นี้ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการเลย แสดงให้เห็นว่าวัคซีนยังสามารถป้องกันความรุนแรงของโรคได้
นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับโอมิครอนได้ หลังพบว่าการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ไม่สามารถป้องกันโอมิครอนได้มากนัก โดยบริษัทผลิตวัคซีนได้ทดลองฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อดูระดับแอนติบอดีว่าต่อสู้กับโอมิครอนได้หรือไม่ และพบข้อมูลดังนี้
- วัคซีนไฟเซอร์ : เมื่อฉีด 3 เข็ม จะเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้สูง 25 เท่า
- วัคซีนโมเดอร์นา : เมื่อฉีดเข็มที่ 3 ครึ่งโดส (50 ไมโครกรัม) จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโอมิครอน 37 เท่า และหากฉีด 1 โดส (100 ไมโครกรัม) ภูมิจะเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 83 เท่า
- วัคซีนซิโนแวค : จากการทดลองให้วัคซีนซิโนแวคกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 พบว่าผู้ทดลอง 45 คน จาก 48 คน หรือคิดเป็น 94% มีระดับภูมิคุ้มกันที่จะรับมือโอมิครอนได้มากขึ้น เทียบเท่าการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 3 เข็ม
- วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า : ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด พบว่า การฉีดแอสตร้าเซนเนก้ากระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้มากขึ้น โดยภูมิคุ้มกันมีระดับสูงกว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และสูงกว่าที่พบในผู้ที่เคยติดโควิดและหายป่วยได้เองจากสายพันธุ์ดั้งเดิม หรือสายพันธุ์อัลฟา เบตา และเดลตา
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลายประเทศเดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่เลื่อนระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้เร็วขึ้น จากเดิมต้องเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็มที่ 2 อย่างน้อย 6 เดือน มาเป็น 3 เดือน
ในเวลาเดียวกันบริษัทผลิตวัคซีนยี่ห้อต่าง ๆ ทั้งโนวาแวกซ์, โมเดอร์นา, ไฟเซอร์, แอสตร้าเซนเนก้า, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก็กำลังพัฒนาวัคซีนโควิด 19 สูตรใหม่ เพื่อรับมือกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนโดยเฉพาะ คาดว่าจะมีข่าวดีอีกไม่นาน
บทความที่เกี่ยวข้องโควิดโอมิครอน
- เทียบ 8 สูตรวัคซีนโควิด 19 ฉีดแบบไหนมีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนสูงสุด
- เปรียบเทียบไฟเซอร์ VS โมเดอร์นา วัคซีนตัวไหนป้องกันโควิด 19 ดีกว่า
- วัคซีนเข็ม 4 ควรฉีดเมื่อไหร่ เลือกใช้สูตรไหน ห่างจากเข็ม 3 กี่เดือน
- ฉีดวัคซีนโควิด เข้ากล้ามเนื้อ VS ชั้นผิวหนัง ต่างกันอย่างไร เลือกแบบครึ่งโดส หรือเต็มโดสดีกว่า
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 28 ธันวาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก ศูนย์ข้อมูล COVID-19 (1), (2), (3), (4), (5)
เฟซบุ๊ก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ
โรงพยาบาลพญาไท
โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์แนชั่นแนล หนองแขม (1), (2)
องค์การอนามัยโลก
prevention.com
nypost.com
walesonline.co.uk
กรุงเทพธุรกิจ
ฐานเศรษฐกิจ
เฟซบุ๊ก Chalermchai Boonyaleepun
mirror.co.uk
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข