การฉีดวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะใช้วิธีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิม ใช้กันทั่วโลก จนเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ศูนย์วัคซีนสถานีกลางบางซื่อ ออกประกาศให้ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็มที่ 3 และเข็มที่ 4 สามารถเลือกฉีดได้เอง 3 รูปแบบ ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์และความสมัครใจของผู้รับวัคซีน คือ
1. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular : IM) แบบเต็มโดส ขนาด 30 ไมโครกรัม
2. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular : IM) แบบครึ่งโดส ขนาด 15 ไมโครกรัม
3. ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง (Intradermal : ID) ขนาด 10 ไมโครกรัม
ประเด็นนี้ทำให้หลายคนมีคำถามว่า ถ้าเลือกได้ เราควรเลือกฉีดแบบไหนดี แล้วการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แตกต่างจากการฉีดเข้าชั้นผิวหนังอย่างไร ตามมาศึกษาข้อมูลกันได้เลย
เข้ากล้ามเนื้อ VS เข้าชั้นผิวหนัง
ปริมาณวัคซีนที่ใช้
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ : ใช้ปริมาณวัคซีนมากกว่าฉีดเข้าชั้นผิวหนังบริเวณหนังแท้ อย่างวัคซีนไฟเซอร์ 1 คน ต้องฉีดปริมาณ 30 ไมโครกรัม
- ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง : ใช้ปริมาณวัคซีนน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เช่น วัคซีนไฟเซอร์ 1 คน จะฉีดเพียง 10 ไมโครกรัม เท่านั้น เท่ากับว่า 1 โดสสามารถฉีดได้ 3-5 คน
การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ : วัคซีนดูดซึมเข้าร่างกายได้เร็วกว่า เพราะมีเลือดมาเลี้ยงมาก
- ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง : วัคซีนจะค่อย ๆ ดูดซึมเข้าร่างกาย ทำให้ดูดซึมช้ากว่า
ระดับภูมิคุ้มกัน
การฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิด มีประสิทธิภาพในเรื่องภูมิคุ้มกันขึ้นสูงเท่ากัน อีกทั้งระยะเวลาของภูมิคุ้มกันก็อยู่นานพอกัน
โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า การฉีดเข้าชั้นผิวหนัง แม้จะใช้ปริมาณวัคซีนน้อยกว่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพที่ดีและภูมิคุ้มกันเท่ากับการฉีดเต็มปริมาณเข้ากล้ามเนื้อ เพราะในผิวหนังมีเซลล์ APC (ANTIGEN PRESENTING CELL) ที่ทำหน้าที่คอยจับเชื้อโรคแล้วส่งข่าวบอกให้เม็ดเลือดขาวออกไปต่อสู้ หรือสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่าในกล้ามเนื้อ ดังนั้น เมื่อฉีดวัคซีนเข้าไปใต้ผิวหนัง APC ก็จะจับเชื้อในวัคซีนไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นดีกว่าฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ความยาก-ง่ายของการฉีดวัคซีน
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ : ฉีดง่ายกว่า แต่อาจจะเกิดอันตรายต่อเส้นประสาทหรือฉีดเข้าหลอดเลือดได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ทนต่อการระคายเคืองได้ดี
- ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง : ฉีดยากกว่า เพราะต้องฉีดให้อยู่ภายในชั้นผิวหนัง ไม่ทะลุไปยังชั้นกล้ามเนื้อ และอาจเกิดการอักเสบตรงตำแหน่งที่ฉีดได้มากกว่า ดังนั้น แพทย์ พยาบาลต้องมีความชำนาญในการฉีดยาอย่างมาก
อาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ : มีอาการปวดเมื่อย ปวดศีรษะ อ่อนเพลียและหนาวสั่นมากกว่าการฉีดในผิวหนัง
- ฉีดเข้าชั้นผิวหนัง : เนื่องจากปริมาณวัคซีนที่เข้าสู่ร่างกายมีน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ อาการข้างเคียงหลังฉีดจึงน้อยกว่า แต่อาจมีตุ่มนูนแดง บวม คัน เป็นหนองที่ผิวหนังเกิดขึ้นได้มากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งตุ่มนี้จะยุบไปเองใน 7-10 วัน
นอกจากนี้ การศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ก็พบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังเช่นเดียวกัน โดยผลข้างเคียงที่เกิดแก่ระบบทั่วร่างกาย ต่ำกว่าการฉีดเข้ากล้าม 10 เท่าหรือมากกว่า
นอกจากประเด็นเรื่องการฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ หรือชั้นผิวหนังแล้ว หลายคนยังมีคำถามว่า แล้วจะเลือกฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มกระตุ้นแบบไหนดี ระหว่างเต็มโดส (30 ไมโครกรัม) หรือครึ่งโดส (15 ไมโครกรัม)
สำหรับเรื่องนี้ ศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช ได้เปิดเผยผลการวิจัยหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 โดยวัดระดับภูมิคุ้มกันชนิด PVNT50 ต่อสายพันธุ์โอมิครอน หลังฉีดเข็มที่ 3 ไปแล้ว 2 สัปดาห์ พบข้อมูลดังนี้
- สูตรวัคซีนซิโนแวค+ซิโนแวค+ไฟเซอร์ครึ่งโดส : ให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน = 551 GMT
- สูตรวัคซีนซิโนแวค+ซิโนแวค+ไฟเซอร์เต็มโดส : ให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน = 543 GMT
- สูตรวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ครึ่งโดส : ให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 232 GMT
- สูตรวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์เต็มโดส : ให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 521 GMT
- สูตรวัคซีนซิโนแวค+แอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ครึ่งโดส : ให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 204 GMT
- สูตรวัคซีนซิโนแวค+แอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์เต็มโดส : ให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 150 GMT
- การฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ใช้กันโดยทั่วไป รวมทั้งการฉีดวัคซีนโควิด 19 ซึ่งหากใช้วิธีนี้ต้องฉีดแบบเต็มโดส
- การฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนัง มีข้อดีตรงที่ใช้ปริมาณวัคซีนน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แต่ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงเท่ากัน และอยู่นานพอ ๆ กัน
- การฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังอาจเกิดตุ่มแดง นูน คัน ได้มากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แต่ผลข้างเคียงด้านอื่น ๆ เช่น เป็นไข้ คลื่นไส้ ปวดหัว ปวดเมื่อย มีน้อยกว่ามาก สามารถลดทอนอาการหนักที่ทำให้เสียชีวิตจากวัคซีนได้ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่กลัวผลข้างเคียงจากวัคซีน
- การฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนัง ทำได้ยากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผู้ฉีดจะต้องมีความชำนาญมาก ปัจจุบันจึงมีบริการฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังเพียงแค่บางแห่งเท่านั้น
- หากฉีดวัคซีนซิโนแวคมาแล้ว 2 เข็ม การฉีดวัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ไม่ว่าจะครึ่งโดส หรือเต็มโดส ประสิทธิภาพไม่ต่างกันมากนัก
- หากฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามาแล้ว 2 เข็ม การฉีดวัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 แบบเต็มโดสจะให้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนดีกว่า
- หากฉีดวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มที่ 1 แอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็มที่ 2 การฉีดวัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 แบบครึ่งโดสจะให้ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนดีกว่าเล็กน้อย
บทความที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด 19
- เตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนโควิดอย่างไร ห้ามกินอะไรบ้าง
- 12 วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ห้ามกินอะไรบ้าง
- ปวดแขนหลังฉีดวัคซีน ทำยังไง บรรเทาปวดด้วยวิธีไหนได้บ้าง
- หลังฉีดวัคซีนโควิดห้ามกินอะไร กาแฟ น้ำอัดลม วิตามิน กินได้ไหมนะ ?
- อาการหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) แบบไหนไม่รุนแรง-แบบไหนต้องระวังใน 30 วัน
- เทียบ 8 สูตรวัคซีนโควิด 19 ฉีดแบบไหนมีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนสูงสุด
- วัคซีนเข็ม 3 ฉีดได้เมื่อไหร่ ควรเลือกฉีดสูตรไหน ยี่ห้ออะไร เป็นบูสเตอร์โดส
- ฉีดวัคซีนเข็ม 3 และเข็ม 4 เดือนกุมภาพันธ์ ลงทะเบียน หรือ Walk in ที่ไหนได้บ้าง ใน กทม.-ปริมณฑล
- วัคซีนเข็ม 4 ควรฉีดเมื่อไหร่ เลือกใช้สูตรไหน ห่างจากเข็ม 3 กี่เดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha (1), (2), (3), กรุงเทพธุรกิจ, สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, เฟซบุ๊ก CVC กลางบางซื่อ, Siriraj Institute of Clinical Research