ตาพร่ามัว อาการไหน ใช่เลย
หากมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง อาจต้องรีบไปเช็กสุขภาพทางสายตากันหน่อยแล้ว
-
ปวดศีรษะเมื่อใช้สายตาเพ่งมองเป็นเวลานาน
-
มองเห็นภาพไม่ชัดเจน จากที่เคยเห็นชัดก็กลายเป็นภาพเบลอ
-
มองเห็นภาพสะท้อนเวลาแสงจ้ามาก ๆ เช่น ตอนขับรถ แล้วตาพร่าจนขับต่อไปไหว หรือเริ่มมองเห็นพระจันทร์เป็นเงา ๆ ไม่ชัด เป็นต้น
-
โฟกัสภาพได้แย่ลงมาก เช่น มองเห็นหน้าคนเป็นภาพเบลอ ๆ หรือไม่เห็นสิว ฝ้า กระ บนใบหน้า แต่เห็นเป็นผิวเรียบเนียนแทน
-
ไม่สามารถอ่านหนังสือด้วยตาเปล่าได้
-
การเห็นสีของวัตถุต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป เช่น เห็นสีสด ๆ กลายเป็นสีที่ซีดจาง
-
มุมมองการเห็นภาพแคบลง มีอาการเดินชนสิ่งของบ่อยขึ้น หรือถอยรถแฉลบข้าง
-
เห็นจุดดำลอยรอบ ๆ บริเวณกรอบจอตาข้างใดข้างหนึ่ง จากอาการวุ้นในตาเสื่อมที่ทำให้เกิดอาการตามัวได้ด้วย
-
หากไปตรวจสายตาอาจพบว่าค่าสายตาเปลี่ยนไปมากแบบก้าวกระโดดในเวลาสั้น ๆ เช่น เคยวัดค่าสายตาสั้นได้ 200 แต่อีกไม่นานพบว่าค่าสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเป็น 500 เป็นต้น
วิธีทดสอบอาการตาพร่ามัว
หากไปพบจักษุแพทย์ อาจได้รับการทดสอบสายตาพร่ามัวเบื้องต้นด้วยวิธีต่อไปนี้
-
ยืนห่างจากผู้ทดสอบ 3 เมตร
-
ปิดตา 1 ข้าง
-
ทายว่าผู้ทดสอบยกนิ้วขึ้นกี่นิ้ว
-
หากตอบไม่ตรงจำนวนนิ้วที่ชู แสดงว่าตาข้างนั้นมีอาการพร่ามัวค่อนข้างมาก
-
ควรสลับทำตาอีกข้างให้ครบ
อาการตาพร่ามัว เกิดจากอะไร
อาการตาพร่ามัวจากสาเหตุที่ไม่ใช่โรค
-
ตาแห้ง จากความไม่สมดุลของสารน้ำในดวงตา โดยอาจเกิดขึ้นได้เวลาใช้สายตามาก ๆ เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสือ ดูซีรีส์ หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
-
ปัญหาค่าสายตาเปลี่ยนไป ทั้งสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือสายตายาวตามวัย
-
ผลข้างเคียงจากการใส่คอนแทคเลนส์ ที่หากใส่นาน ๆ อาจทำให้โปรตีนในดวงตาสะสมที่ตัวคอนแทคเลนส์ ส่งผลให้การไหลเวียนของน้ำตาที่หล่อเลี้ยงกระจกตาลดน้อยลงจนเกิดอาการระคายเคืองตา ตาแห้ง ตาพร่ามัวได้
-
การตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้เกิดการสะสมน้ำในร่างกายมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการตาบวม ตาพร่ามัว
-
การทำเลสิก เป็นผลข้างเคียงจากการใช้เลเซอร์ ทำให้มีอาการตาเบลอ ตาพร่ามัว หรือเจ็บรอบ ๆ แผลที่ทำเลสิกได้
- การได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาหรือบริเวณศีรษะ อาจส่งผลต่อการมองเห็น
อาการตาพร่ามัวจากโรคบางชนิด
-
โรคต้อกระจก โดยผู้ป่วยจะมองเห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว หรือเห็นภาพซ้อนเมื่อใช้สายตาเยอะ ๆ
-
โรคต้อหิน ที่เกิดจากความดันในลูกตาเพิ่มขึ้น หรือมีอาการตาอักเสบเรื้อรัง หรือปล่อยให้เป็นต้อกระจกเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้ลุกลามเป็นต้อหินและเสี่ยงตาบอดได้
-
โรคจอประสาทตาเสื่อม มักเกิดในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จากความเสื่อมของเซลล์ตามอายุ
-
โรคเยื่อบุตาอักเสบ จากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือสารเคมีใด ๆ หรือสารก่อภูมิแพ้ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้
-
โรคเส้นประสาทตาอักเสบ จากความเสื่อมของเส้นประสาทตาที่ส่งสัญญาณไปยังส่วนประสาททางสมองทำงานลดลง ส่งผลให้เกิดอาการตามัวได้
-
ไซนัส ที่มีอาการลามไปยังเยื่อบุในดวงตา เกิดการระคายเคือง อักเสบ ปวดตา ตาแดง ตาพร่ามัว หรือหากอาการรุนแรงอาจกลอกลูกตาได้ไม่เต็มที่ และเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นหากรักษาไม่ทันท่วงที
-
ไมเกรน นอกจากจะปวดศีรษะอย่างรุนแรงแล้ว ผู้ป่วยไมเกรนบางคนยังมีอาการตามัว มองเห็นแสงเป็นทอดและเห็นภาพมีแสงระยิบระยับ
-
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยอาจมีอาการเหงื่อออกมาก ใจสั่น หิว กระสับกระส่าย ตาพร่า ไม่มีแรงได้
- โรคเบาหวาน หากมีอาการแทรกซ้อนลามไปที่ดวงตา หรือเบาหวานขึ้นตา ผู้ป่วยจะมีอาการตาพร่ามัว มองไม่ชัด หรือมองไม่เห็นชั่วคราว และหากไม่รีบรักษาอาจเสี่ยงตาบอด
ตาพร่ามัว วิธีแก้ทำยังไงได้บ้าง
วิธีแก้ตาพร่ามัวด้วยตัวเอง สามารถทำได้ดังนี้
- พักสายตาทุก ๆ 30 นาที หรือเมื่อมีอาการล้าสายตา โฟกัสภาพไม่ค่อยชัด
- หยอดน้ำตาเทียม หากรู้สึกมีอาการตาพร่ามัว แสบตา เคืองตา โดยสามารถใช้น้ำตาเทียมได้เมื่อมีอาการ
- นวดกดจุดตามศาสตร์แพทย์แผนไทย โดยใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างกดคลึงเบา ๆ บริเวณหัวตา หรือตรงจุดท่อน้ำตา นาน 5 วินาที เพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นขึ้น หรือใช้นิ้วโป้งกดที่หัวคิ้วทั้งสองข้าง ดันคิ้วขึ้น 5 วินาที เป็นต้น
วิธีรักษาอาการตาพร่ามัว
วิธีรักษาอาการตาพร่ามัวตามหลักทางการแพทย์จะมีอยู่หลายแนวทางด้วยกัน โดยหากพบว่าเกิดจากความผิดปกติของค่าสายตาก็อาจรักษาด้วยการใส่แว่นสายตา หรือหากพบว่าเป็นความเสื่อมของดวงตาก็รักษาด้วยยา หรืออาหารเสริมที่มีส่วนผสมของลูทีน ซีแซนทิน และบิลเบอร์รี ที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา
นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษาด้วยการกายภาพบำบัด บริหารดวงตา รวมไปถึงในผู้ป่วยที่มีปัญหาสายตาจากโรคเรื้อรัง ควรได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุของอาการตาพร่ามัว เพราะเมื่อภาวะของโรคสงบ อาการตาพร่ามัวก็จะลดน้อยลงด้วย ทว่าในกรณีที่สาเหตุของโรคเกิดจากต้อกระจกหรือต้อหิน จะต้องใช้วิธีผ่าตัดรักษาเพื่อบรรเทาอาการวิธีป้องกันตาพร่ามัว
เราสามารถป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากอาการตาพร่ามัวด้วยวิธีต่อไปนี้
-
หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหรือขยี้ตา เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตา
-
หากใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่หรือถอดคอนแทคเลนส์
-
สวมใส่แว่นกันแดดเมื่อต้องออกไปข้างนอก เพื่อป้องกันลม ฝุ่น และแสง UV
-
หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน ควรสวมใส่แว่นที่สามารถกรองแสงสีฟ้าได้
-
ตรวจวัดสายตาอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละครั้ง
-
รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หรือหากป่วยเป็นโรคเรื้อรังก็ควรปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการลุกลามของโรค
ทั้งนี้ หากยังไม่มีอาการตาพร่ามัวหรือปัญหาสายตาใด ๆ ก็ควรดูแลดวงตาของเราให้ดี และหมั่นรับประทานอาหารบำรุงสายตาเพื่อช่วยให้สุขภาพตาดีด้วยก็ได้
15 ผักบำรุงสายตา หาง่ายใกล้ตัว ไม่อยากสายตาพร่ามัวต้องรีบกิน !