Water Fasting คืออะไร กินอะไรได้บ้าง ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ ?

           Water Fasting กินแต่น้ำก็ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ แล้วเทรนด์นี้ปลอดภัยหรืออันตราย ชวนมาศึกษาข้อมูลก่อนคิดลอง
water fasting

           เทรนด์ลดน้ำหนัก ยุคนี้มีให้เลือกสารพัดวิธี อย่างการทำ Water Fasting ก็เป็นการอดอาหารลดน้ำหนักที่ได้รับความสนใจไม่น้อย โดยหลายคนเชื่อว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักและรักษาโรคบางชนิดได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลดน้ำหนักตามสูตรใด ๆ เราควรทำความเข้าใจทั้งประโยชน์และความเสี่ยงก่อน เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ

Water Fasting คืออะไร

          Water Fasting คือ การอดอาหารโดยไม่กินอะไรเลย นอกจากการดื่มน้ำเพียงอย่างเดียวตลอดระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ 24-72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน เพราะหากอดอาหารนานกว่านี้จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร และส่งผลต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ ได้

          อย่างไรก็ตาม การทำ Water Fasting ไม่ใช่เทรนด์ใหม่ แต่เป็นวิธีอดอาหารที่เคยปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณ ด้วยเหตุผลทางด้านศาสนาและจิตวิญญาณ ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มหันมาทำ Water Fasting เพื่อหวังลดน้ำหนักและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม เพราะเชื่อว่าการอดอาหารเป็นการกระตุ้นกลไกการกินตัวเองของเซลล์ (Autophagy) ซึ่งเป็นกระบวนการฟื้นฟูร่างกายทางธรรมชาติ และมีการศึกษาที่ระบุว่า กลไกนี้จะช่วยซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้งช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคบางอย่างได้ เช่น โรคพาร์กินสัน โรคสมองเสื่อม

Water Fasting กินอะไรได้บ้าง

water fasting กินอะไรได้บ้าง

            ในการทำ Water Fasting เราต้องดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก แต่หากเป็นคนติดกาแฟจริง ๆ ก็พอจะอนุโลมให้ดื่มกาแฟดำได้บ้าง โดยห้ามเติมครีม น้ำตาล หรือสารปรุงแต่งอื่น ๆ เด็ดขาด เพราะเป็นการเพิ่มแคลอรีให้กับร่างกาย

Water Fasting
ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม

           ตามหลักการแล้วการดื่มน้ำเพียงอย่างเดียวสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะเมื่อไม่ได้รับสารอาหารจากอาหารใด ๆ ในช่วงแรกร่างกายจะดึงแป้งที่สะสมในตับมาใช้ก่อน หลังจากนั้นจะเริ่มดึงไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงานแทน ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่ข้อควรระวังก็คือ ยิ่งอดอาหารนานเท่าไร ร่างกายก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเท่านั้น

วิธีทำ Water Fasting

water fasting คืออะไร ลดกี่โล

ก่อนทำ Water Fasting

  • ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มต้นการอดอาหารด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม

  • กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม โดยอาจเริ่มต้นอดอาหารเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 12-16 ชั่วโมง และค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาหากสามารถทนได้ แต่ไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน

  • เลือกทำ Water Fasting ในวันหยุด ที่ไม่ได้ทำงานหนัก 

  • เลือกช่วงที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการเจ็บป่วย

  • รับประทานอาหารให้ครบหมู่และเพียงพอก่อนทำ Water Fasting

ระหว่างทำ Water Fasting

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดการอดอาหาร อย่างน้อยวันละ 2-4 ลิตร โดยใช้วิธีจิบน้ำเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ไม่ดื่มรวดเดียว เพราะเสี่ยงต่อภาวะน้ำเป็นพิษจากการดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไป

  • เน้นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ หรือออกกำลังที่ต้องใช้สมาธิ เช่น โยคะ แต่ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหม เพราะจะยิ่งหิวมากกว่าเดิม

  • ขณะทำ Water Fasting อาจเกิดอาการปวดหัว เวียนหัว เหนื่อยล้า มึนงง ไม่สบายตัว ให้สังเกตตัวเองอยู่เสมอ ถ้ามีอาการรุนแรงควรหยุดทันที อย่าฝืนต่อ

  • ไม่ควรขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้เครื่องจักร ขณะทำ Water Fasting เพราะหากมีอาการเวียนหัว วูบ อ่อนเพลีย อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

หลังทำ Water Fasting

  • เมื่อจบกระบวนการอดอาหารแล้วให้กลับมารับประทานอาหารทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ โดยกินน้ำผัก น้ำผลไม้ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย ๆ เช่น ข้าวต้ม ซุป เนื้อปลา เนื้อไก่ ธัญพืช เป็นต้น

  • อาจแบ่งรับประทานเป็นมื้อเล็ก ๆ 5 มื้อต่อวัน คือ อาหารเช้า อาหารว่าง อาหารกลางวัน อาหารว่าง และอาหารเย็น 

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม อาหารที่มีน้ำตาลสูง

  • ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อใหญ่ทันที เพราะเสี่ยงต่อภาวะ Refeeding syndrome ที่ร่างกายจะแย่งกันดูดซึมสารอาหาร จนทำให้เกลือแร่ในเลือดลดต่ำลง อาจมีภาวะสมดุลน้ำและโซเดียมผิดปกติ จนส่งผลต่อทั้งระบบสมอง ประสาท กล้ามเนื้อ

ข้อดีของการทำ Water Fasting

  • ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นการลดปริมาณแคลอรีที่เข้าสู่ร่างกาย อีกทั้งช่วยลดไขมันและไตรกลีเซอไรด์ได้

  • เพิ่มความไวต่ออินซูลินและเลปตินที่ตอบสนองต่อเซลล์ในร่างกาย โดยหากร่างกายไวต่ออินซูลินมากขึ้นจะส่งผลดีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนร่างกายที่ไวต่อเลปตินนั้นจะทำให้ประมวลสัญญาณความหิวและความอิ่มได้ดีขึ้น ช่วยยับยั้งความอยากอาหาร ไม่หิวตลอดเวลา

  • ช่วยขจัดสารพิษต่าง ๆ ที่ตกค้างในร่างกาย 

  • ลดการอักเสบในร่างกาย

  • กระตุ้นให้เกิดการกินตัวเองของเซลล์ (Autophagy) ที่ช่วยให้ร่างกายกำจัดเซลล์ที่เสียหาย และสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนตามธรรมชาติ โดยมีการศึกษาในสัตว์ทดลองหลายชิ้นที่พบว่า การกินตัวเองของเซลล์อาจช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง อัลไซเมอร์ โรคหัวใจ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์

  • อาจช่วยลดความดันโลหิต โดยมีการศึกษาพบว่า การอดน้ำสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตและน้ำหนักตัวของผู้มีความดันโลหิตสูงได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมต่อไป

  • อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ แต่ยังเป็นเพียงการศึกษาในสัตว์ทดลองเท่านั้น

อันตรายจาก Water Fasting

water fasting อันตราย

           ยิ่งอดอาหารนานเท่าไรก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนี้
ร่างกายขาดสารอาหาร
           เนื่องจากรับประทานแต่น้ำเปล่า ร่างกายจึงขาดสารอาหารที่จำเป็น หากทำ Water Fasting นานเกินไปและบ่อยเกินไป อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม
ร่างกายขาดวิตามิน เกลือแร่
           วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นมักอยู่ในอาหาร หากขาดไปอาจส่งผลต่อระดับโซเดียมในเลือด ทำให้ความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้อหดเกร็ง และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงในบางกรณี
ขาดน้ำ
           การดื่มแต่น้ำเปล่าโดยไม่กินอาหารเลยก็อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้เช่นกัน เพราะโดยปกติแล้วน้ำที่เราบริโภคเข้าไปในแต่ละวันจะมาจากการรับประทานอาหารถึง 20-30% ดังนั้น หากไม่กินอาหารเลยก็เสี่ยงต่อการได้รับน้ำไม่เพียงพอ ผู้ที่กำลังลดน้ำหนักด้วยวิธี Water Fasting จึงจำเป็นต้องดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ คือ 2-4 ลิตรต่อวัน แต่อย่าดื่มมากเกินไปรวดเดียว เพื่อป้องกันภาวะน้ำเป็นพิษที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
           การอดอาหารเป็นเวลานานเกิน 3 วัน อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อสลาย เพราะร่างกายเผาผลาญทั้งไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน
ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension)
           ในขณะที่เราเปลี่ยนจากท่านอนเป็นยืน หรือท่านั่งเป็นลุกขึ้นยืน อาจทำให้มีอาการเวียนหัว มึนงง เป็นลมได้

ระบบย่อยอาหารมีปัญหา

           หลังจากกลับมารับประทานอาหารอีกครั้ง อาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง เพราะอดอาหารมาเป็นเวลานาน
กลับมาอ้วนอีกได้ง่าย

          แม้การอดอาหารจะช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ หากเรากลับมารับประทานอาหารแบบเดิม โดยไม่คุมอาหาร ไม่ออกกำลังกายเลย ก็มีโอกาสที่จะกลับมาอ้วนอีก

Water Fasting ไม่เหมาะกับใคร

          คนที่ไม่ควรอดอาหารด้วยวิธี Water Fasting มีอยู่หลายกลุ่ม อาทิ

  • เด็กและวัยรุ่นที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

  • ผู้สูงอายุ

  • หญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงให้นมบุตร

  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ

  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

  • ผู้ป่วยโรคเกาต์

  • ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ

  • ผู้ที่มีความผิดปกติของการรับประทาน

  • ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรนที่ควบคุมไม่ได้

  • ผู้ที่กำลังรับการถ่ายเลือด

  • ผู้ที่กำลังรับประทานยา

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ

           การอดอาหารแบบ Water Fasting เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะสุดโต่งอยู่เหมือนกัน ดังนั้น จึงต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และต้องไม่ลืมชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่ได้รับ กับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะจริง ๆ แล้วยังมีวิธีลดน้ำหนักอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยกับสุขภาพมากกว่าให้เลือก

บทความที่เกี่ยวข้องกับวิธีลดน้ำหนัก

ขอบคุณข้อมูลจาก : healthline.com, bbc, medicalnewstoday.com, ไทยพีบีเอส
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Water Fasting คืออะไร กินอะไรได้บ้าง ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ ? อัปเดตล่าสุด 18 กรกฎาคม 2567 เวลา 13:50:10 35,084 อ่าน
TOP
x close