
งาดำ ธัญพืชสีเข้ม
กับสารต้านอนุมูลอิสระสุดเด่น

งาดำ กับคุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม
-
พลังงาน 594 กิโลแคลอรี
-
โปรตีน 20.6 กรัม
-
ไขมัน 51.9 กรัม
-
คาร์โบไฮเดรต 3.2 กรัม
-
ไฟเบอร์ 15.7 กรัม
-
น้ำ 2.2 กรัม
-
แคลเซียม 1,469 มิลลิกรัม
-
ฟอสฟอรัส 688 มิลลิกรัม
-
ธาตุเหล็ก 9.9 มิลลิกรัม
-
ไอโอดีน 22 มิลลิกรัม
-
วิตามินบี 1 0.75 มิลลิกรัม
-
วิตามินบี 2 0.27 มิลลิกรัม
-
วิตามินบี 3 3.80 มิลลิกรัม
-
มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น เซซามิน เซซาโมลิน เซซามอล ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิว ตับ สมอง และหัวใจ นอกจากนี้ยังมีแอนโทไซยานินที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ
-
มีไฟโตสเตอรอลที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
ทั้งนี้ งาดำจัดเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง จึงควรบริโภคงาดำในปริมาณที่เหมาะสม คือไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะ หรือราว ๆ 15 กรัมต่อวัน
งาขาว ดาวเด่นในวงการธัญพืช

งาขาว กับคุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม
-
พลังงาน 697 กิโลแคลอรี
-
โปรตีน 26.1 กรัม
-
ไขมัน 64.2 กรัม
-
คาร์โบไฮเดรต 3.6 กรัม
-
ไฟเบอร์ 4.1 กรัม
-
น้ำ 3 กรัม
-
แคลเซียม 90 มิลลิกรัม
-
ธาตุเหล็ก 13 มิลลิกรัม
-
เบต้าแคโรทีน 4 ไมโครกรัม
-
วิตามินบี 1 0.83 มิลลิกรัม
-
วิตามินบี 2 1.54 มิลลิกรัม
-
วิตามินบี 3 5 มิลลิกรัม
-
มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เซซามิน เซซาโมลิน เซซามอล ในปริมาณที่สูงเช่นเดียวกับงาดำ
-
มีไฟโตสเตอรอลที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดเช่นเดียวกับงาดำ
ทั้งนี้ งาขาวก็มีสัดส่วนของน้ำมันค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ดังนั้น การบริโภคงาขาวจึงควรจำกัดให้ไม่เกินวันละ 1 ช้อนโต๊ะ หรือราว ๆ 15 กรัม ไม่ต่างจากงาดำ
งาขาว งาดำ ต่างกันอย่างไร

โดยรวมแล้วทั้งงาดำและงาขาวมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในบางจุดที่น่าสนใจ ดังนี้
-
ลักษณะ : งาดำเมล็ดเล็ก สีดำสนิท มีเปลือกหุ้ม ในขณะที่งาขาวเมล็ดเล็ก สีขาวนวล ไม่มีเปลือกหุ้ม เพราะมักจะถูกกะเทาะเปลือกก่อนรับประทาน
-
รสชาติ : งาดำมีความเข้มข้น หอมมัน ปนขมเล็กน้อย มีความกรุบกรอบกว่า แต่งาขาวจะมีรสชาติอ่อนกว่า ออกหวานมัน ความหอมก็เบากว่า แต่ไม่ติดขม
-
พลังงาน : งาดำ ให้พลังงาน 594 แคลอรี ต่อปริมาณ 100 กรัม ส่วนงาขาว ให้พลังงาน 697 กิโลแคลอรี ต่อปริมาณ 100 กรัม
-
โปรตีน : งาดำให้โปรตีน 20.60 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม ในขณะที่งาขาวจะมีโปรตีนมากกว่าคือ 26.10 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม
-
ไขมัน : งาดำอบจะมีไขมัน 51.90 กรัม แต่งาขาวคั่วจะให้ไขมัน 64.20 กรัม โดยมีกรดไขมันอิ่มตัว 15-20% และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนราว ๆ 80% เหมือนกันทั้งงาขาวและงาดำ
-
แคลเซียม : ถ้าเทียบกันแล้วในงาดำจะมีแคลเซียมมากกว่าคือ 1,469 มิลลิกรัม ในขณะที่แคลเซียมในงาขาวจะมีอยู่ราว ๆ 90 มิลลิกรัมเท่านั้น เพราะถูกกะเทาะเปลือกซึ่งเป็นแหล่งของแคลเซียมออกไป ข้อนี้จะเห็นได้ว่า งาดำมีแคลเซียมสูงกว่างาขาวอย่างเห็นได้ชัด
-
สารต้านอนุมูลอิสระ : งาดำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะแอนโทไซยานินค่อนข้างสูง ซึ่งจะอยู่ที่เปลือก ในขณะที่งาขาวไม่มีแอนโทไซยานิน แต่จะมีเบต้าแคโรทีนอยู่บ้าง อีกทั้งส่วนมากจะถูกกะเทาะเปลือกก่อนรับประทาน ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่บนเปลือกก็อาจหายไปด้วย
-
ไฟเบอร์ : งาดำ มีปริมาณไฟเบอร์มากกว่างาขาวเล็กน้อย ซึ่งช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้ดีกว่า
-
ประโยชน์หลัก ๆ : งาดำและงาขาวอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1, บี 2, บี 3, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก แต่งาดำจะเด่นในเรื่องบำรุงกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน เพราะมีแคลเซียมสูงกว่างาขาวหลายเท่า ในขณะที่งาขาวจะเด่นตรงที่มีวิตามินบีสูงกว่างาดำ ดีต่อระบบประสาท
- วิธีกินงาขาว-งาดำ : งาดำ นิยมนำไปใช้ประกอบอาหาร, ขนมหรือเครื่องดื่มที่ต้องการสีเข้ม เช่น ขนมงา กาแฟงาดำ น้ำเต้าหูงาดำ ไส้บัวลอย ซุปงาดำ เป็นต้น ส่วนงาขาวจะเหมาะกับอาหารที่ต้องการกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของงา อย่างข้าวญี่ปุ่น โรยบนเมนูย่างต่าง ๆ หรือในขนมไทย เช่น บัวลอย หรือใช้โรยตกแต่งบนขนมปัง ซูชิ สลัด เป็นต้น
งาดำ VS งาขาว
กินอันไหนดีกว่ากัน

หากให้เจาะจงว่างาดำกับงาขาว กินอะไรดีกว่ากันคงตอบได้ยาก เพราะไม่ว่าจะงาดำ หรืองาขาว ต่างก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพในแบบของตัวเอง ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะบุคคล หากตั้งโจทย์ว่าต้องการธัญพืชแคลเซียมสูง งาดำก็โดดเด่นเรื่องนี้กว่างาขาวอย่างเห็นได้ชัด พร้อมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้มข้นกว่า
ในขณะที่งาขาวแม้จะมีแคลเซียมน้อยกว่า แต่ก็เป็นแหล่งของโปรตีนที่ดีไม่แพ้กัน มีสารอาหารหลากหลาย หอม อร่อย กินง่ายกว่า ดังนั้น การบริโภคงาทั้งสองชนิดสลับกันในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลายและครบถ้วนที่สุด