วงจรประจำเดือน 28 วัน เกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละมื้อ แต่ละเดย์ของรอบเดือนผู้หญิง

          ประจำเดือนของสาว ๆ ใน 1 รอบเดือนจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับร่างกาย เชื่อว่าผู้หญิงหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน และยังคำนวณวงจรประจำเดือนของตัวเองได้ไม่แม่นนัก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญของสุขภาพผู้หญิงเลยทีเดียว
ประจำเดือน

          วงจรประจำเดือน หรือรอบเดือน เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในร่างกายผู้หญิงทุกคน โดยเฉลี่ยแล้ววงจรนี้จะอยู่ที่ 28 วัน แต่ก็สามารถแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตั้งแต่ 21 ถึง 35 วัน การทำความเข้าใจประจำเดือน และวิธีนับประจำเดือน 28 วัน จะช่วยให้เรารับรู้การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและร่างกาย ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์และสุขภาพโดยรวมของผู้หญิงได้ โดยวงจรประจำเดือนสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะหลัก ๆ ดังนี้

ระยะที่ 1 ระยะมีประจำเดือน
(Menstrual Phase)

รอบเดือน

          ระยะนี้คือช่วงที่ร่างกายกำลังขับเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวขึ้นในเดือนที่ผ่านมาออกมา เนื่องจากไม่มีการปฏิสนธิกับไข่ที่ตกในรอบเดือนก่อนหน้า โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน

  • วันที่ 1 : เป็นวันแรกที่เลือดประจำเดือนเริ่มไหล ถือเป็นจุดเริ่มต้นของรอบเดือนใหม่ อาจมีอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง หรือรู้สึกไม่สบายตัว

  • วันที่ 2 : เลือดประจำเดือนยังคงไหลออกมา และอาจมีลิ่มเลือดขนาดเล็กปนออกมาได้ มีอาการปวดท้องคล้ายกับวันแรก ร่างกายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย

  • วันที่ 3 : ปริมาณเลือดประจำเดือนเริ่มลดลง อาการปวดท้องทุเลาลงบ้าง

  • วันที่ 4 : เลือดประจำเดือนใกล้จะหยุดไหล หรือไหลน้อยลง สีประจำเดือนเปลี่ยนจากแดงสดเป็นสีน้ำตาล

  • วันที่ 5 : อาจมีตกขาวสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหลืออยู่บ้าง

  • วันที่ 6 : เลือดประจำเดือนหยุดไหลในบางคน แต่บางคนยังอาจมีประจำเดือนมาน้อย ๆ ในวันนี้ได้เช่นกัน

  • วันที่ 7 : ประจำเดือนหยุดสนิท ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นให้รังไข่สร้างไข่ และเริ่มสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นมาใหม่

ระยะที่ 2 ระยะก่อนไข่ตก
(Follicular Phase)

ระยะก่อนไข่ตก

          เป็นช่วงที่รังไข่สร้างไข่ที่กำลังพัฒนา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ระยะนี้กินเวลาประมาณ 14 วัน โดยทับซ้อนกับระยะที่ 1 ตั้งแต่ช่วงมีประจำเดือนวันแรกไปสิ้นสุดเมื่อไข่ตก 

  • วันที่ 8 : ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้น ในขณะที่เทสโทสเตอโรนและโปรเจสเตอโรนจะยังคงที่ ร่างกายอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากขึ้น และผิวพรรณสดใสขึ้น 

  • วันที่ 9 : เป็นช่วงที่ไข่จะยังคงพัฒนาไปสู่การเจริญเติบโตเต็มที่ ในขณะที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งอุดมไปด้วยเลือดและสารอาหารหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่อาจได้รับการปฏิสนธิแล้ว

  • วันที่ 10 : ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มสูงขึ้นมาก และเยื่อบุโพรงมดลูก หรือผนังมดลูก ก็ยังอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมรองรับการตั้งครรภ์

  • วันที่ 11 : เป็นช่วงที่ร่างกายมีโอกาสตั้งครรภ์สูง เพราะมีการสร้างฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ (Follicle-Stimulating Hormone - FSH) เพื่อส่งสัญญาณให้รังไข่เริ่มปล่อยไข่ ช่วงนี้เยื่อบุโพรงมดลูกจะอยู่ในจุดที่หนาตัวเต็มที่ พร้อมกับไข่ก็กำลังเจริญเติบโตในถุงไข่ รอการปฏิสนธิ สาว ๆ อาจสังเกตเห็นตกขาวใส ๆ ยืด ๆ คล้ายไข่ขาวดิบ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงวันไข่ตก 

  • วันที่ 12 : เป็นช่วงของการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความต้องการทางเพศก็มีมากขึ้นจากระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่สูงขึ้น ทำให้การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ยังคงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง  

  • วันที่ 13 : ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ในจุดสูงสุด และร่างกายก็เกือบพร้อมแล้วสำหรับการตกไข่ ซึ่งหมายความว่า ถุงไข่เด่น (Dominant follicle) หรือถุงไข่ที่พัฒนาได้สมบูรณ์ที่สุดในรอบเดือนนั้น ๆ เพียง 1 ฟอง กำลังจะออกมาจากรังไข่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

ระยะที่ 3 ระยะไข่ตก
(Ovulatory Phase)

ระยะไข่ตก

          เป็นระยะที่ไข่ที่สุกเต็มที่จะถูกปล่อยออกมาจากรังไข่ ซึ่งถือเป็นช่วงที่ผู้หญิงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากที่สุดในรอบเดือน เพราะเป็นช่วงที่ไข่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิมากที่สุด ส่วนใหญ่จะตรงกับวันที่ 14 ของรอบเดือน (ในกรณีที่มีรอบเดือน 28 วัน) แต่บางคนก็อาจคลาดเคลื่อนได้

  • วันที่ 14 : วันนี้คือวันที่มีการตกไข่ โดยฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) ที่ถูกสร้างขึ้นจากต่อมใต้สมองจะไปกระตุ้นให้ถุงไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่แตกออก ทำให้ไข่ที่อยู่ข้างในหลุดออกมา บางคนอาจรู้สึกเจ็บหน่วงเล็กน้อยที่ท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่ง หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติ นี่คือวันที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากที่สุด

ระยะที่ 4 ระยะหลังไข่ตก
(Luteal Phase)

ระยะหลังไข่ตก

          เกิดขึ้นหลังจากการตกไข่ (Ovulation) และสิ้นสุดลงเมื่อมีประจำเดือน ซึ่งระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 14 วัน (ในกรณีที่มีรอบเดือน 28 วัน) ช่วงนี้มีความสำคัญในการเตรียมมดลูกสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ หรือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมีประจำเดือนครั้งต่อไปหากไม่มีการตั้งครรภ์ ในระยะนี้อาจมีตกขาวได้บ้าง แต่เป็นลักษณะหนาขึ้นและขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก หรือมีสีขาวอมเหลืองเล็กน้อย มีความเหนียวและไม่ค่อยยืดหยุ่น 

  • วันที่ 15 : หลังจากที่ไข่ตก ไข่จะถูกปล่อยออกมาผ่านท่อนำไข่เพื่อพบกับตัวอสุจิ ซึ่งหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ โอกาสในการปฏิสนธิจะยังคงสูงอยู่ เพราะไข่มีอายุประมาณ 12–24 ชั่วโมง หลังการตกไข่

  • วันที่ 16 : ไข่ยังคงลอยอยู่ในท่อนำไข่และรอการปฏิสนธิกับอสุจิ ถ้ามีเพศสัมพันธ์ช่วงนี้ โอกาสปฏิสนธิก็ยังมีอยู่ แต่เวลาของไข่ก็ใกล้จะหมดลงแล้ว

  • วันที่ 17 : หากไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ตัวอ่อนจะเดินทางมายังมดลูก และฝังตัวในเยื่อบุที่กำลังหนาขึ้นเพื่อรองรับการตั้งครรภ์ แต่หากยังไม่มีการปฏิสนธิภายใน 24 ชั่วโมง หลังการตกไข่ ไข่จะสลายตัว ถุงไข่ที่เหลือจะกลายเป็นคอร์ปัสลูเทียม (Corpus Luteum) ซึ่งจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเป็นหลัก เพื่อรักษาสภาพเยื่อบุโพรงมดลูกเอาไว้

  • วันที่ 18 : ร่างกายเริ่มผลิตเอสโตรเจนมากขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะที่โปรเจสเตอโรนยังอยู่ในระดับสูง เพื่อสนับสนุนการฝังตัวของตัวอ่อนหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น

  • วันที่ 19 : แม้จะมีการปฏิสนธิแล้ว แต่ระดับฮอร์โมนยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ดังนั้น แม้จะซื้อชุดตรวจครรภ์มาตรวจในช่วงนี้ก็อาจได้ผลเป็นลบ พบเพียงขีดเดียว

  • วันที่ 20 : เข้าสู่ช่วงท้ายของรอบเดือนแล้ว คุณอาจเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว เช่น ท้องอืด หงุดหงิด หรืออารมณ์แปรปรวน อาการเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของ กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)

  • วันที่ 21 : เป็นช่วงที่เหมาะสำหรับเช็กการตั้งครรภ์ เพราะระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นชัดเจนหากไข่ได้รับการปฏิสนธิและฝังตัวในมดลูก

  • วันที่ 22 : ใกล้ถึงวันนั้นของเดือนแล้ว อย่าลืมเตรียมผ้าอนามัยให้พร้อม !

  • วันที่ 23 : อาการก่อนมีประจำเดือนอาจรุนแรงขึ้นในช่วงนี้ เช่น ปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย อารมณ์เหวี่ยง สิวขึ้น หรือนอนไม่หลับ ดังนั้น อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง เช่น แช่น้ำอุ่น ผ่อนคลาย หรือหาของหวานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างช็อกโกแลตมาฮีลใจบ้างก็ดี

  • วันที่ 24 : ประมาณ 1 สัปดาห์หลังการตกไข่ ระดับโปรเจสเตอโรนยังคงอยู่ในระดับสูงเพื่อคงสภาพเยื่อบุโพรงมดลูก ในขณะที่ระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ ทั้งนี้ หากมีการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเหล่านี้จะยังคงสูงต่อไป แต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิ คอร์ปัสลูเทียมจะสลายตัวลง ทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนลดต่ำลง เพื่อนำเข้าสู่การมีประจำเดือนรอบใหม่  

  • วันที่ 25 : เป็นวันที่ฮอร์โมนเหวี่ยงจัด ๆ เริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายตัวมากที่สุดในรอบเดือน และอาจพบกับอาการหงุดหงิดง่าย ท้องอืด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือมีอาการคัดตึงเต้านม ดิ่งดาวน์ ไร้เหตุผลมาก ๆ ในช่วงวันนี้อีกด้วย

  • วันที่ 26 : ตัวจะเริ่มบวมน้ำ น้ำหนักอาจขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นกลไกปกติในช่วงก่อนเมนส์มา

  • วันที่ 27 : อาการ PMS ทุเลาลง อารมณ์และร่างกายรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะฮอร์โมนเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว

  • วันที่ 28 : ถือเป็นวันสุดท้ายของรอบเดือน หากไม่มีการตั้งครรภ์ เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวเต็มที่ก็จะเริ่มหลุดลอกออก ซึ่งจะกลายเป็นประจำเดือนในวันถัดไป และเมื่อรอบเดือนนี้จบลง รอบใหม่ก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง เป็นวงจรธรรมชาติที่เกิดขึ้นในร่างกายผู้หญิงทุกเดือน

          วงจรประจำเดือนก็จะมีรายละเอียดราว ๆ นี้ แม้ในความเป็นจริงบางคนอาจมีรอบเดือนเกินหรือน้อยกว่านี้ก็ตาม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเครียด การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การกินยาคุมกำเนิด อาการป่วยและสุขภาพโดยรวม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลนะคะ แต่หากรอบเดือนน้อยกว่า 21 วัน หรือนานเกิน 35 วัน และมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ในระหว่างเมนส์มา ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อความสบายใจ

บทความที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน

ขอบคุณข้อมูลจาก : mindbodygreen.com, healthline.comgirlshealth.govmy.clevelandclinic.org
เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
วงจรประจำเดือน 28 วัน เกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละมื้อ แต่ละเดย์ของรอบเดือนผู้หญิง อัปเดตล่าสุด 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 17:14:26
TOP
x close