
ระยะที่ 1 ระยะมีประจำเดือน
(Menstrual Phase)

ระยะนี้คือช่วงที่ร่างกายกำลังขับเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวขึ้นในเดือนที่ผ่านมาออกมา เนื่องจากไม่มีการปฏิสนธิกับไข่ที่ตกในรอบเดือนก่อนหน้า โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน
-
วันที่ 1 : เป็นวันแรกที่เลือดประจำเดือนเริ่มไหล ถือเป็นจุดเริ่มต้นของรอบเดือนใหม่ อาจมีอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง หรือรู้สึกไม่สบายตัว
-
วันที่ 2 : เลือดประจำเดือนยังคงไหลออกมา และอาจมีลิ่มเลือดขนาดเล็กปนออกมาได้ มีอาการปวดท้องคล้ายกับวันแรก ร่างกายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย
-
วันที่ 3 : ปริมาณเลือดประจำเดือนเริ่มลดลง อาการปวดท้องทุเลาลงบ้าง
-
วันที่ 4 : เลือดประจำเดือนใกล้จะหยุดไหล หรือไหลน้อยลง สีประจำเดือนเปลี่ยนจากแดงสดเป็นสีน้ำตาล
-
วันที่ 5 : อาจมีตกขาวสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหลืออยู่บ้าง
-
วันที่ 6 : เลือดประจำเดือนหยุดไหลในบางคน แต่บางคนยังอาจมีประจำเดือนมาน้อย ๆ ในวันนี้ได้เช่นกัน
- วันที่ 7 : ประจำเดือนหยุดสนิท ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มสูงขึ้นเพื่อกระตุ้นให้รังไข่สร้างไข่ และเริ่มสร้างเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นมาใหม่
ระยะที่ 2 ระยะก่อนไข่ตก
(Follicular Phase)

เป็นช่วงที่รังไข่สร้างไข่ที่กำลังพัฒนา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ระยะนี้กินเวลาประมาณ 14 วัน โดยทับซ้อนกับระยะที่ 1 ตั้งแต่ช่วงมีประจำเดือนวันแรกไปสิ้นสุดเมื่อไข่ตก
-
วันที่ 8 : ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้น ในขณะที่เทสโทสเตอโรนและโปรเจสเตอโรนจะยังคงที่ ร่างกายอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากขึ้น และผิวพรรณสดใสขึ้น
-
วันที่ 9 : เป็นช่วงที่ไข่จะยังคงพัฒนาไปสู่การเจริญเติบโตเต็มที่ ในขณะที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งอุดมไปด้วยเลือดและสารอาหารหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่อาจได้รับการปฏิสนธิแล้ว
-
วันที่ 10 : ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มสูงขึ้นมาก และเยื่อบุโพรงมดลูก หรือผนังมดลูก ก็ยังอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมรองรับการตั้งครรภ์
-
วันที่ 11 : เป็นช่วงที่ร่างกายมีโอกาสตั้งครรภ์สูง เพราะมีการสร้างฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ (Follicle-Stimulating Hormone - FSH) เพื่อส่งสัญญาณให้รังไข่เริ่มปล่อยไข่ ช่วงนี้เยื่อบุโพรงมดลูกจะอยู่ในจุดที่หนาตัวเต็มที่ พร้อมกับไข่ก็กำลังเจริญเติบโตในถุงไข่ รอการปฏิสนธิ สาว ๆ อาจสังเกตเห็นตกขาวใส ๆ ยืด ๆ คล้ายไข่ขาวดิบ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงวันไข่ตก
-
วันที่ 12 : เป็นช่วงของการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความต้องการทางเพศก็มีมากขึ้นจากระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่สูงขึ้น ทำให้การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ยังคงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง
-
วันที่ 13 : ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ในจุดสูงสุด และร่างกายก็เกือบพร้อมแล้วสำหรับการตกไข่ ซึ่งหมายความว่า ถุงไข่เด่น (Dominant follicle) หรือถุงไข่ที่พัฒนาได้สมบูรณ์ที่สุดในรอบเดือนนั้น ๆ เพียง 1 ฟอง กำลังจะออกมาจากรังไข่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ระยะที่ 3 ระยะไข่ตก
(Ovulatory Phase)

เป็นระยะที่ไข่ที่สุกเต็มที่จะถูกปล่อยออกมาจากรังไข่ ซึ่งถือเป็นช่วงที่ผู้หญิงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากที่สุดในรอบเดือน เพราะเป็นช่วงที่ไข่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิมากที่สุด ส่วนใหญ่จะตรงกับวันที่ 14 ของรอบเดือน (ในกรณีที่มีรอบเดือน 28 วัน) แต่บางคนก็อาจคลาดเคลื่อนได้
- วันที่ 14 : วันนี้คือวันที่มีการตกไข่ โดยฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) ที่ถูกสร้างขึ้นจากต่อมใต้สมองจะไปกระตุ้นให้ถุงไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่แตกออก ทำให้ไข่ที่อยู่ข้างในหลุดออกมา บางคนอาจรู้สึกเจ็บหน่วงเล็กน้อยที่ท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่ง หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติ นี่คือวันที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากที่สุด
ระยะที่ 4 ระยะหลังไข่ตก
(Luteal Phase)

เกิดขึ้นหลังจากการตกไข่ (Ovulation) และสิ้นสุดลงเมื่อมีประจำเดือน ซึ่งระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 14 วัน (ในกรณีที่มีรอบเดือน 28 วัน) ช่วงนี้มีความสำคัญในการเตรียมมดลูกสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ หรือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมีประจำเดือนครั้งต่อไปหากไม่มีการตั้งครรภ์ ในระยะนี้อาจมีตกขาวได้บ้าง แต่เป็นลักษณะหนาขึ้นและขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก หรือมีสีขาวอมเหลืองเล็กน้อย มีความเหนียวและไม่ค่อยยืดหยุ่น
-
วันที่ 15 : หลังจากที่ไข่ตก ไข่จะถูกปล่อยออกมาผ่านท่อนำไข่เพื่อพบกับตัวอสุจิ ซึ่งหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ โอกาสในการปฏิสนธิจะยังคงสูงอยู่ เพราะไข่มีอายุประมาณ 12–24 ชั่วโมง หลังการตกไข่
-
วันที่ 16 : ไข่ยังคงลอยอยู่ในท่อนำไข่และรอการปฏิสนธิกับอสุจิ ถ้ามีเพศสัมพันธ์ช่วงนี้ โอกาสปฏิสนธิก็ยังมีอยู่ แต่เวลาของไข่ก็ใกล้จะหมดลงแล้ว
-
วันที่ 17 : หากไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ตัวอ่อนจะเดินทางมายังมดลูก และฝังตัวในเยื่อบุที่กำลังหนาขึ้นเพื่อรองรับการตั้งครรภ์ แต่หากยังไม่มีการปฏิสนธิภายใน 24 ชั่วโมง หลังการตกไข่ ไข่จะสลายตัว ถุงไข่ที่เหลือจะกลายเป็นคอร์ปัสลูเทียม (Corpus Luteum) ซึ่งจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเป็นหลัก เพื่อรักษาสภาพเยื่อบุโพรงมดลูกเอาไว้
-
วันที่ 18 : ร่างกายเริ่มผลิตเอสโตรเจนมากขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะที่โปรเจสเตอโรนยังอยู่ในระดับสูง เพื่อสนับสนุนการฝังตัวของตัวอ่อนหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
-
วันที่ 19 : แม้จะมีการปฏิสนธิแล้ว แต่ระดับฮอร์โมนยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ดังนั้น แม้จะซื้อชุดตรวจครรภ์มาตรวจในช่วงนี้ก็อาจได้ผลเป็นลบ พบเพียงขีดเดียว
-
วันที่ 20 : เข้าสู่ช่วงท้ายของรอบเดือนแล้ว คุณอาจเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว เช่น ท้องอืด หงุดหงิด หรืออารมณ์แปรปรวน อาการเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของ กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)
-
วันที่ 21 : เป็นช่วงที่เหมาะสำหรับเช็กการตั้งครรภ์ เพราะระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นชัดเจนหากไข่ได้รับการปฏิสนธิและฝังตัวในมดลูก
-
วันที่ 22 : ใกล้ถึงวันนั้นของเดือนแล้ว อย่าลืมเตรียมผ้าอนามัยให้พร้อม !
-
วันที่ 23 : อาการก่อนมีประจำเดือนอาจรุนแรงขึ้นในช่วงนี้ เช่น ปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย อารมณ์เหวี่ยง สิวขึ้น หรือนอนไม่หลับ ดังนั้น อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง เช่น แช่น้ำอุ่น ผ่อนคลาย หรือหาของหวานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างช็อกโกแลตมาฮีลใจบ้างก็ดี
-
วันที่ 24 : ประมาณ 1 สัปดาห์หลังการตกไข่ ระดับโปรเจสเตอโรนยังคงอยู่ในระดับสูงเพื่อคงสภาพเยื่อบุโพรงมดลูก ในขณะที่ระดับเอสโตรเจนเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ ทั้งนี้ หากมีการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเหล่านี้จะยังคงสูงต่อไป แต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิ คอร์ปัสลูเทียมจะสลายตัวลง ทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนลดต่ำลง เพื่อนำเข้าสู่การมีประจำเดือนรอบใหม่
-
วันที่ 25 : เป็นวันที่ฮอร์โมนเหวี่ยงจัด ๆ เริ่มรู้สึกถึงความไม่สบายตัวมากที่สุดในรอบเดือน และอาจพบกับอาการหงุดหงิดง่าย ท้องอืด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือมีอาการคัดตึงเต้านม ดิ่งดาวน์ ไร้เหตุผลมาก ๆ ในช่วงวันนี้อีกด้วย
-
วันที่ 26 : ตัวจะเริ่มบวมน้ำ น้ำหนักอาจขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นกลไกปกติในช่วงก่อนเมนส์มา
-
วันที่ 27 : อาการ PMS ทุเลาลง อารมณ์และร่างกายรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะฮอร์โมนเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
-
วันที่ 28 : ถือเป็นวันสุดท้ายของรอบเดือน หากไม่มีการตั้งครรภ์ เยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวเต็มที่ก็จะเริ่มหลุดลอกออก ซึ่งจะกลายเป็นประจำเดือนในวันถัดไป และเมื่อรอบเดือนนี้จบลง รอบใหม่ก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง เป็นวงจรธรรมชาติที่เกิดขึ้นในร่างกายผู้หญิงทุกเดือน
บทความที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน
- 9 อาการประจำเดือนผิดปกติแบบนี้ เห็นทีต้องรีบไปหาหมอ
- ประจำเดือนใกล้มาหรือยัง ลองสังเกตอาการนี้ดูซิ
- ประจําเดือนมาวันเดียวแล้วหายไป เมนส์มาน้อยท้องไหม หรือผิดที่ฮอร์โมน
- เป็นเมนส์ควรกินอะไร เสริมสุขภาพช่วงประจำเดือนมาด้วยอาหารให้ดีเต็มแม็กซ์
- อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง กินช่วงมีประจำเดือน เพื่อช่วยบำรุงเลือด ลดอาการเพลีย