โรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย เกิดจากอะไร รักษาหายไหม ปวดเรื้อรังแบบนี้อันตรายถึงชีวิตจริงหรือ ?

         โรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย มีจริงหรือ ? ใครอยากรู้ว่าอาการเจ็บเรื้อรังแบบนี้จะรักษาให้หายได้ไหม อันตรายแค่ไหน เรามีคำตอบ
เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย คืออะไร

     หลายคนอาจเคยประสบกับอาการเจ็บปวดที่บริเวณข้อต่อหรือเอ็นหลังจากทำกิจกรรมซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา การทำงาน หรือแม้แต่กิจวัตรประจำวัน เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายสักที อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดการบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพของเอ็นก็เป็นได้ ว่าแต่...โรคนี้อันตรายแค่ไหน รักษาได้ไหม มาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

โรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย คืออะไร  

      เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย หรือก็คือเส้นเอ็นอักเสบประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่แค่การอักเสบของเส้นเอ็นธรรมดา แต่คือภาวะที่เส้นเอ็นเกิดการเสื่อมสภาพเรื้อรัง ทำให้เส้นใยคอลลาเจนที่ประกอบเป็นเอ็นสูญเสียความยืดหยุ่นและความแข็งแรง เสี่ยงต่อการฉีกขาดได้ง่าย เมื่อเกิดการฉีกขาดเล็ก ๆ สะสม นานวันเข้าจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเรื้อรัง 

โรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย เกิดจากอะไร

เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย เกิดจากอะไร

          มีหลายสาเหตุที่ส่งผลให้เส้นเอ็นเกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้น อาทิ

  • การใช้งานซ้ำ ๆ : เช่น การฝึกซ้อมกีฬาที่หนักเกินไป ยกของหนักในท่าที่ไม่เหมาะสม นั่ง-ยืนผิดท่าเป็นเวลานาน หรือทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อเดิมเป็นประจำ
  • อายุที่มากขึ้น : เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของเอ็นจะลดลง เกิดการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ
  • การเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน : เช่น ในคนที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมใหม่ ๆ แล้วไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน
  • โครงสร้างร่างกายผิดปกติ : เช่น เท้าผิดรูป กล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้เอ็นต้องรับแรงผิดธรรมชาติ
  • การบาดเจ็บสะสมเล็กน้อย : อาจเป็นการบาดเจ็บทั่วไป หรือเคยประสบอุบัติเหตุและไม่ได้รับการรักษาหรือพักฟื้นอย่างเพียงพอ
  • โรคประจำตัวบางชนิด : เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคเกาต์ และโรคอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเส้นเอ็น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบของเส้นเอ็น
  • การใช้ยาสเตียรอยด์บางชนิดเป็นเวลานาน : เช่น 
    • ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ทั้งชนิดกินและฉีด ทำให้เอ็นบางลงและขาดง่าย โดยเฉพาะกรณีฉีดใกล้เส้นเอ็น
    • ยากลุ่มฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) เป็นยาปฏิชีวนะที่มีส่วนทำให้เอ็นเปราะและฉีกขาดง่าย โดยเฉพาะเอ็นร้อยหวาย และจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นหากผู้ใช้ยาเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยโรคไต
    • ยากลุ่มสแตติน (Statins) เป็นยาที่ช่วยลดไขมัน ซึ่งพบว่ามีผลกับเส้นเอ็นได้บ้าง แต่ไม่มากนัก

เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย อาการเป็นยังไง

          อาการของโรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ยจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเส้นเอ็นที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดที่บริเวณหัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ฐานนิ้วโป้ง หัวเข่า สะโพก เอ็นร้อยหวาย ส้นเท้า เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วอาการที่พบบ่อย มีดังนี้

  • รู้สึกปวดเฉพาะที่ : มักเป็นอาการปวดแบบตื้อ ๆ และรู้สึกเจ็บมากขึ้นเมื่อขยับหรือใช้งานบริเวณนั้น ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการออกแรงหนักหรือทำกิจกรรมซ้ำ ๆ แต่จะไม่รู้สึกปวดเมื่อพักการใช้งาน
  • เจ็บเมื่อกด : รู้สึกเจ็บเมื่อออกแรงกดที่บริเวณเอ็น บางคนจะรู้สึกเจ็บแบบแข็ง ๆ ตึง ๆ ในตอนเช้าหรือหลังจากไม่ได้เคลื่อนไหวนาน ๆ
  • บวม แดง : บริเวณที่เส้นเอ็นมีปัญหามักจะมีอาการบวม แดงเล็กน้อย  
  • ขยับลำบาก : อาการปวดและบวมอาจทำให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อบริเวณนั้น ๆ ทำได้ไม่เต็มที่ หรือรู้สึกติดขัด เพราะความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลงด้วย  
  • มีเสียงผิดปกติ : บางครั้งอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบหรือเสียงดังในข้อต่อขณะเคลื่อนไหว

โรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย อันตรายมากไหม 

          จริง ๆ แล้วโรคนี้ไม่ใช่อาการที่อันตรายถึงชีวิต แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ปัญหาระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต เช่น 

  • มีอาการปวดเรื้อรังจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ทำงาน ทำงานบ้าน หรือเล่นกีฬาได้ไม่เต็มที่
  • เส้นเอ็นที่เสื่อมสภาพแล้วจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อย ๆ มีโอกาสฉีกขาดได้ง่ายกว่าปกติ
  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น เคลื่อนไหวลำบาก กล้ามเนื้อลีบจากการไม่ได้ใช้งาน กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น

          ดังนั้นหากมีอาการปวดจากโรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ยควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษา เพื่อไม่ให้อาการลุกลามไปมากกว่านี้ 

เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย รักษายังไง

เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย รักษายังไง

          การรักษาโรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ยทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ

กรณีมีอาการไม่รุนแรง

  • พักการใช้งาน : หากมีอาการเจ็บต้องหยุดพักการใช้งานบริเวณนั้น และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการซ้ำ ๆ เพื่อให้เส้นเอ็นได้มีเวลาฟื้นตัว
  • ประคบเย็น : การประคบเย็นบริเวณที่มีอาการปวดในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการบาดเจ็บจะช่วยลดอาการบวมและการอักเสบได้
  • การใช้ยา : สามารถใช้ยาลดอักเสบกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือนาพรอกเซน (Naproxen) ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้
  • ทำกายภาพบำบัด : ควรทำท่ายืดกล้ามเนื้อเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบ ๆ บริเวณที่บาดเจ็บ ซึ่งจะช่วยให้เส้นเอ็นแข็งแรงขึ้นและลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต
  • การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ : เช่น ตรึงด้วยเฝือก ใช้ผ้าคล้องแขน หรือใช้ไม้ค้ำยัน
  • ฉีดสเตียรอยด์ : หากมีอาการปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น ๆ แพทย์อาจพิจารณาการฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงยิ่งทำให้เส้นเอ็นอ่อนแอลงหากใช้บ่อยเกินไป
  • การรักษาด้วยคลื่นเสียง (Ultrasound) : แพทย์อาจใช้เครื่องมืออัลตราซาวด์บำบัด เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการปวด รวมทั้งกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและเร่งกระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ 

กรณีมีอาการรุนแรง

          หากการรักษาข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น 

  • การฉีดพลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP Injection) : คือการนำเกล็ดเลือดและพลาสมาที่ได้จากเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นจนเข้มข้นและฉายแสง ก่อนฉีดกลับเข้าไปในบริเวณที่บาดเจ็บ เพื่อลดอาการเจ็บปวด ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเร่งการฟื้นตัว
  • การผ่าตัด : เป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น ๆ โดยการผ่าตัดจะช่วยกำจัดเนื้อเยื่อที่เสียหายและซ่อมแซมเส้นเอ็นเพื่อฟื้นฟูการทำงาน

เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย ป้องกันได้ไหม

          วิธีป้องกันโรคที่เกิดการเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ยสามารถทำได้ดังนี้

  • ไม่หักโหมใช้งานเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นซ้ำ ๆ จนเกินไป ควรพักและเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
  • ศึกษาท่าทางที่ถูกต้องในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ยกของ นั่ง ยืน นอน เพื่อลดโอกาสเกิดเอ็นอักเสบ
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อโดยวอร์มอัพก่อนออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อและเอ็นพร้อมใช้งาน และหลังจากออกกำลังกายเสร็จให้คูลดาวน์เพื่อลดความตึง 
  • ทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยเพิ่มความหนักหรือระยะเวลาแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้ร่างกายได้ปรับตัว
  • เลือกออกกำลังกายให้ได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อไม่ให้เส้นเอ็นมัดใดมัดหนึ่งทำงานหนักซ้ำ ๆ จนเกินไป
  • เลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น รองเท้าออกกำลังกายที่รองรับแรงกระแทกได้ดี
  • หากรู้สึกเจ็บปวดควรหยุดพักทันที อย่าฝืนตัวเอง
  • หมั่นดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น ควบคุมน้ำหนักไม่ให้มีภาวะอ้วนที่อาจส่งผลต่อข้อและเส้นเอ็น และเป็นการป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดจากการมีน้ำหนักตัวมากเกินไป เช่น โรคข้อ โรคเบาหวาน เป็นต้น
          แม้ว่าโรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ยอาจไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตไม่น้อย ดังนั้น ถ้าใครมีอาการปวดเส้นเอ็นที่ไม่หายไปเองภายในไม่กี่สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ก็ควรดูแลร่างกายอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้โรคนี้ถามหา

บทความที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลนครธน, my.clevelandclinic.org, hss.edu
เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
โรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย เกิดจากอะไร รักษาหายไหม ปวดเรื้อรังแบบนี้อันตรายถึงชีวิตจริงหรือ ? อัปเดตล่าสุด 5 กันยายน 2568 เวลา 15:21:15
TOP
x close