ครีมลดรอยแผลเป็น ยาทารอยแผลเป็น ยี่ห้อไหนดี ช่วยให้รอยดำจางลง ใช้ได้ทั้งผิวหน้า-ผิวกาย

          ครีมลดรอยแผลเป็น ยี่ห้อไหนดี ไอเทมที่ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว แผลถลอก แผลจากความร้อน หรือแผลผ่าตัดให้ดูจางลงได้ มาดูกันว่าควรเลือกซื้อแบบไหน และมีข้อควรระวังในการใช้อย่างไรบ้าง
ครีมลดรอยแผลเป็น

          เชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีบาดแผล ไม่ว่าจะมาจากมีดบาด รอยข่วนของสัตว์เลี้ยง น้ำร้อนลวก แผลเป็นจากสิว หรือเกาจนเป็นแผล ทว่าเมื่อแผลหายดีแล้วก็มักจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้รู้สึกกังวลใจไม่น้อย จึงต้องมองหาครีมลดรอยแผลเป็น หรือ ยาทาแผลเป็น มาช่วยลดรอยดำ รอยแดง ให้ผิวกลับมาเนียนสวยใกล้เคียงเดิม ซึ่งผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีหลากหลายสูตรและหลากหลายยี่ห้อจนเลือกไม่ถูกว่า ครีมลดรอยแผลเป็น ยี่ห้อไหนดี ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับครีมทาแผลเป็นไว้เป็นแนวทางในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและลักษณะแผลของแต่ละคนกันดีกว่า

แผลเป็น เกิดจากอะไร

แผลเป็นสีดํา แผลเป็นจากสิว

          รอยแผลเป็น (Scar) คือผลลัพธ์จากกระบวนการซ่อมแซมตนเองตามธรรมชาติของร่างกาย ภายหลังที่ผิวหนังได้รับความบาดเจ็บหรือความเสียหายจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือการเกิดสิว เป็นต้น ในกระบวนการนี้ ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเพื่อประสานบาดแผลให้ปิดเข้าหากันและเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้น โดยเนื้อเยื่อส่วนนี้จะมีองค์ประกอบหลักคือคอลลาเจน

          อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการซ่อมแซมมีความไม่สมดุล อาจส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่น มีสีเข้มหรือสีแดงผิดปกติ, แผลเป็นนูน หรือแผลคีลอยด์ (Keloid) ซึ่งทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวไม่เรียบเนียนเสมอกับผิวโดยรอบ ทั้งนี้ ลักษณะของรอยแผลเป็นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ความลึกของบาดแผล การดูแลรักษาหลังการเกิดแผล พันธุกรรม และตำแหน่งที่เกิดแผล โดยรอยแผลเป็นบางประเภทอาจค่อย ๆ จางหายไปได้เองตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา 

แผลเป็นมีกี่ชนิด

แผลเป็นทายาอะไร

          รอยแผลเป็นสามารถจำแนกออกได้หลายชนิด โดยแต่ละชนิดมีลักษณะและสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • แผลหดรั้ง : เป็นรอยแผลที่เกิดจากการประสานกันของคอลลาเจนอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดการดึงรั้งผิวหนังอย่างรุนแรง มักพบในแผลที่เกิดจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวกอย่างรุนแรง และอาจส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแผลเป็นลุกลามเข้าไปในบริเวณข้อต่อ กล้ามเนื้อ หรือเส้นประสาท

  • แผลบุ๋ม : คือแผลที่มีลักษณะเป็นหลุม รอยบุ๋มโค้งมน หรือร่องตื้น ๆ บนผิวหนัง ส่วนใหญ่มักเกิดบนใบหน้า เช่น รอยแผลเป็นจากสิว เนื่องจากเกิดการสูญเสียเนื้อเยื่อคอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิวหนังในบริเวณนั้น

  • แผลนูน : เกิดจากการผลิตคอลลาเจนมากเกินไป ทำให้เกิดความนูนแข็งขึ้นมาเหนือระดับผิวหนังเดิม แม้จะมีความนูน แต่โดยทั่วไปมักไม่ขยายขอบเขตเกินจากบริเวณบาดแผลเดิม และมีแนวโน้มที่จะยุบตัวลงหรือมีขนาดเล็กลงได้เองเมื่อเวลาผ่านไป

  • แผลคีลอยด์ : เป็นรอยแผลที่นูนและลอยตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนเหนือผิวหนังแตกต่างจากแผลนูน โดยแผลคีลอยด์จะมีการขยายตัวและแพร่กระจายออกไปนอกขอบเขตของบาดแผลที่ได้รับบาดเจ็บในตอนแรก ซึ่งอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวได้

  • แผลเป็นรอยแตกลาย : เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังขยายตัวหรือหดตัวอย่างรวดเร็ว มักพบบริเวณหน้าท้อง ต้นขา และต้นแขน โดยเฉพาะในระหว่างการตั้งครรภ์ หรือหลังจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว  

วิธีทำให้รอยแผลจางเร็วขึ้น

แผลเป็นจากการผ่าตัด

          การดูแลรอยแผลตั้งแต่ระยะแรกมีผลอย่างมากต่อความจางของแผลในระยะยาว โดยวิธีเหล่านี้ช่วยให้รอยแผลหายไวขึ้น

  • ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือปราศจากเชื้อ (Normal Saline) อย่างสม่ำเสมอ และปล่อยให้แผลหายตามกระบวนการธรรมชาติ

  • หลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกา หรือดึงสะเก็ดแผล แม้ว่าจะมีอาการคัน เพื่อป้องกันการอักเสบและการสร้างเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ

  • ป้องกันไม่ให้รอยแผลสัมผัสกับแสงแดดจัดโดยตรง และควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงบริเวณรอยแผลเป็นเสมอ เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) อาจกระตุ้นให้รอยแผลเป็นมีสีเข้มขึ้นและหายช้าลง

  • ควรรับประทานอาหารที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิว เช่น

    • โปรตีน : ไข่, นม, เนื้อปลา เพื่อเป็นวัตถุดิบในการสร้างคอลลาเจน

    • วิตามินซี : ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม สับปะรด หรือตระกูลเบอร์รี

    • กรดไขมันไม่อิ่มตัว : เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วเปลือกแข็ง อะโวคาโด เพื่อช่วยลดการอักเสบ

  • เติมความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน และทาครีมบำรุงเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิวบริเวณรอบแผลอย่างสม่ำเสมอ

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น เช่น ครีมหรือเจลทาลดรอยแผล เพื่อช่วยบำรุงผิวบริเวณบาดแผลและส่งเสริมให้กระบวนการฟื้นฟูผิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ครีมลดรอยแผลเป็น
ทาแผลอะไรได้บ้าง

ยาทาแผลเป็น เจลทาแผลเป็น

          ครีมลดรอยแผล หรือยาลบรอยแผลเป็น เป็นสามารถใช้เพื่อดูแลรอยแผลเป็นทั่วไปในระยะเริ่มต้นและระยะที่ไม่แข็งตัวมากนัก (ไม่เกิน 6 เดือน) เช่น แผลบาด แผลข่วน แผลถลอก รอยแผลจากการผ่าตัด แผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก รวมถึงรอยดำ-รอยแดงหลังการอักเสบ รอยแผลเป็นที่สีผิวไม่สม่ำเสมอ รอยแผลใหม่ที่ปิดสนิทแล้ว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวบริเวณรอยแผลเป็น เช่น

  • ซิลิโคน (Silicone) / CPX (Cyclic and Polymeric Siloxanes) ช่วยเคลือบผิวบริเวณแผลเป็นให้เกิดฟิล์มบาง ๆ เพื่อลดการสูญเสียน้ำและควบคุมความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นนูน 

  • วิตามินอีและวิตามินซี มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสร และช่วยบำรุงผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น

  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) คือ วิตามินบี 3 ชนิดหนึ่ง ที่มีบทบาทช่วยลดรอยแดงและรอยดำหลังการเกิดแผล รวมถึงช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว

  • สารสกัดจากหัวหอม (Allium Cepa) เป็นส่วนผสมที่ได้รับความนิยมในการช่วยดูแลและลดเลือนรอยแผลเป็น

  • สารสกัดจากใบบัวบกและว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณช่วยปลอบประโลมและบรรเทาอาการระคายเคืองของผิว

  • เลือดมังกร (Dragon's Blood) เป็นยางไม้สีแดงที่มีคุณสมบัติช่วยสมานแผล ต้านการอักเสบ

  • มิวโคโพลีแซ็กคาไรด์โพลีซัลเฟต (Mucopolysaccharide Polysulfate หรือ MPS) มีคุณสมบัติช่วยให้รอยแผลเป็นนุ่มลง ใช้ได้ทั้งแผลเป็นทั่วไปและแผลนูน

  • AHA (Alpha Hydroxy Acids) เช่น Glycolic Acid หรือ Lactic Acid ใช้เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นบนอย่างอ่อนโยน ช่วยลดความหยาบกร้านของรอยแผลเป็น ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และช่วยให้รอยดำจางลง

  • สารให้ความชุ่มชื้น เช่น ไฮยารูลอน (Hyaluronic Acid) จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างล้ำลึก

          ส่วนผสมเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวบริเวณแผลเป็น ทำให้ผิวที่แข็งตึงมีความนุ่มลง และช่วยสนับสนุนกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้สีผิวบริเวณรอยแผลเป็นดูสม่ำเสมอและจางลง

          อย่างไรก็ตาม หากเป็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ แผลเป็นนูนมาก แผลคีลอยด์ หรือแผลที่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการดูแลรักษาที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

วิธีเลือกซื้อครีมลดรอยแผลเป็น

ครีมทาแผลเป็น ลดรอยดำ

          การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นที่มีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งลักษณะของรอยแผลเป็น ส่วนผสม เนื้อสัมผัส รวมถึงความปลอดภัยในการใช้งาน

  • เลือกตามลักษณะของรอยแผลเป็น 

    • แผลที่มีรอยแดง : เช่น แผลบาด แผลข่วน มักเกิดในช่วงแรกหลังแผลปิดแล้ว ควรเลือกครีมสูตรที่มีคุณสมบัติลดการอักเสบและบรรเทาการระคายเคือง เช่น สารสกัดจากใบบัวบก, ว่านหางจระเข้, สารสกัดหัวหอม, วิตามินอี หรือสูตรซิลิโคน ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและปรับสีผิวให้ดีขึ้น

    • แผลที่มีรอยคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ : คือแผลเก่าที่เปลี่ยนสีแล้วจากการสัมผัสแดดหรือผิวสร้างเม็ดสีมากเกินไป จึงควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ซึ่งช่วยลดรอยดำ รอยแดง ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

    • แผลถลอกเล็ก ๆ : แผลประเภทนี้ปิดเร็ว ไม่จำเป็นต้องใช้สูตรเข้มข้นสูง สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเจลที่ซึมซาบไว มีส่วนผสมของวิตามินอี หรือว่านหางจระเข้ ก็เพียงพอ

    • แผลที่เกิดจากความร้อน : ควรเลือกสูตรที่ปราศจากน้ำหอมเพื่อลดความเสี่ยงการแพ้ และมีส่วนประกอบที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นสูง เช่น ว่านหางจระเข้, ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) เพื่อช่วยให้ผิวนุ่มและกักเก็บน้ำได้ดี หรือใช้ซิลิโคนเพื่อช่วยให้เนื้อแผลเรียบขึ้น

    • แผลนูน แผลเป็นแข็ง แผลคีลอยด์ : ต้องเน้นผลิตภัณฑ์กลุ่มซิลิโคน (ทั้งแบบเจลและแผ่น) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการลดการสร้างคอลลาเจนส่วนเกิน รักษาสภาพแวดล้อมที่ชุ่มชื้นใต้แผ่นฟิล์ม และควรมีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบร่วมด้วย

  • เลือกจากเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีหลายแบบ เช่น

    • เนื้อเจล : บางเบา เกลี่ยง่าย ซึมไว ทาแล้วไม่เหนอะหนะ เหมาะสำหรับแผลขนาดเล็ก คนที่มีผิวมัน หรือใช้ในสภาพอากาศร้อน

    • เนื้อเซรั่ม : มีความบางเบากว่าเนื้อเจล มีความเข้มข้นของสารบำรุงสูง เน้นการซึมซาบเร็ว และมักมีส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนรอยดำรอยแดงได้ดี

    • เนื้อครีม : ให้ความชุ่มชื้นสูงกว่าแบบเจล เหมาะกับผิวแห้ง หรือแผลใหญ่ที่ต้องการบำรุงลึก แต่อาจรู้สึกหนักผิวสำหรับคนผิวมัน

    • ซิลิโคน : มีทั้งแบบเจลและแบบแผ่น มีคุณสมบัติในการคงอยู่บนผิวยาวนาน เหมาะสำหรับแผลนูน แผลคีลอยด์ และรอยแผลผ่าตัดยาว เพราะช่วยให้การฟื้นฟูผิวมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง

    • ขี้ผึ้ง : เนื้อหนักและหนืด ทาแล้วอาจรู้สึกเหนียว เหนอะหนะ เหมาะกับการใช้ทาแผลสดมากกว่าแผลเป็นทั่วไป เนื่องจากให้ความชุ่มชื้นและปกป้องแผลได้ดีเยี่ยม

  • เลือกขนาดของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น หากแผลเล็กอาจเลือกหลอดขนาดเล็ก 5 กรัม แต่ถ้าเป็นรอยแผลขนาดกลางถึงใหญ่ ควรเลือกขนาด 10-20 กรัม เพราะต้องใช้ทาวันละหลายครั้งติดต่อกันหลายสัปดาห์ 

  • เลือกครีมลดรอยแผลเป็นที่ระบุว่าสามารถใช้กับบริเวณที่ต้องการทาได้อย่างชัดเจน เช่น หากต้องการใช้กับผิวหน้า ควรเลือกสูตรที่อ่อนโยนและระบุว่าใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย

  • ตรวจสอบส่วนผสมอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงส่วนประกอบที่ทำให้เราแพ้ โดยเฉพาะคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารระคายเคือง เช่น สีสังเคราะห์ แอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน หรือสเตียรอยด์ 

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบการระคายเคืองโดยแพทย์ผิวหนัง (Dermatologically Tested) เพื่อความมั่นใจในคุณภาพ

  • สำหรับเด็กและสตรีมีครรภ์ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการระบุอย่างชัดเจนว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย

  • เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ มีการแสดงเลขที่ใบรับแจ้ง/ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ชัดเจน ระบุวัน-เดือน-ปีผลิต และควรซื้อจากร้านขายยา หรือร้านค้าทางการของแบรนด์ เพื่อป้องกันสินค้าเลียนแบบ

ครีมลดรอยแผลเป็น ยี่ห้อไหนดี

          คราวนี้มาดูกันว่าถ้าต้องการซื้อยาหรือครีมทาแผลเป็นสักหลอด จะมียี่ห้อไหนน่าสนใจบ้าง

1. ครีมลดรอยแผลเป็น Ella Scar Cream

ครีมลดรอยแผลเป็น Ella Scar Cream

ภาพจาก : watsons.co.th

          “เอลล่าสกาครีม (Ella Scar Cream)” ตัวนี้เป็นเนื้อครีมทาได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย ใช้ลดเลือนรอยแผลเป็นได้หลายแบบ ทั้งแผลนูน แผลที่สีผิวไม่สม่ำเสมอ แผลผ่าตัด แผลคีลอยด์ แผลเป็นหลุมจากสิว ด้วยสารสกัดจากเมือกหอยทากฝรั่งเศสที่ช่วยเติมเต็มเนื้อเยื่อผิวหนัง และยังมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิด เช่น รากหอมหัวใหญ่ ใบบัวบก ผักบุ้งทะเล ว่านหางจระเข้ ใบชุมเห็ดเทศ  ที่ช่วยฟื้นฟูแผลตามธรรมชาติและดูแลสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ  

  • วิธีใช้ : ทาครีมบาง ๆ วันละ 2-3 ครั้ง และใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง 

  • ราคาปกติ : ขนาด 20 กรัม 324 บาท

2. ครีมลดรอยแผลเป็น Hiruscar Ultra Scar Care gel

ครีมลดรอยแผลเป็น Hiruscar Ultra Scar Care gel

ภาพจาก : Hiruscar

          “ฮีรูสการ์ อัลตรา สการ์ แคร์ เจล (Hiruscar Ultra Scar Care gel)” ครีมลดรอยแผลเป็นสูตรใหม่จาก Hiruscar ที่นอกจากจะมีส่วนผสมของสารสกัดจากหัวหอม และ Niacinamide วิตามินบี 3 ที่ช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลงและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอแล้ว ยังเพิ่มส่วนผสมของ Centella Asiatica สารสกัดจากใบบัวบก มาช่วยซ่อมแซมผิว และ Delisens ที่ช่วยลดอาการคันระคายเคือง เนื้อเจลใส บางเบา แห้งไว ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกายเลยล่ะ

  • วิธีใช้ : ทาเจลบริเวณที่มีรอยแผลเป็น นวดเบา ๆ วันละ 2-3 ครั้ง และใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

  • ราคาปกติ : ขนาด 20 กรัม 699 บาท

3. ครีมลดรอยแผลเป็น PURICAS PLUS ADVANCED DRAGON’S BLOOD'S C&E SCAR GEL

ครีมลดรอยแผลเป็น PURICAS PLUS

ภาพจาก : Puricas

          ใครที่กำลังมองหาเจลลดรอยแผลที่ใช้สารสกัดเลือดมังกร มาดู "เพียวริก้าส์ พลัส แอดวานส์ ดราก้อน บลัด ซี แอนด์ อี สการ์ เจล" ที่มีจุดเด่นคือการใช้สารสกัด Dragon's Blood ออร์แกนิกเข้มข้นที่นำเข้าจากสเปน ผสานพลังกับอนุพันธ์วิตามิน C และ E ด้วยเทคโนโลยี Advance Synergistic Effect ตัวเจลสามารถทาได้ทันทีทั้งบนแผลสดที่ยังไม่ตกสะเก็ดและรอยแผลเป็นเก่า (ไม่เกิน 1 ปี) เหมาะสำหรับรอยแผลทั่วไป ทั้งจากอุบัติเหตุและการผ่าตัด ซึ่งจะช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นอย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญคือเป็นสูตรอ่อนโยนสามารถใช้ทาได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย

  • วิธีใช้ : ทาและนวดเบาๆ บริเวณแผลเป็น 3-4 ครั้งต่อวัน และใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

  • ราคาปกติ : ขนาด 20 กรัม 749 บาท

4. ครีมลดรอยแผลเป็น Mederma PM Intensive Overnight Cream

ครีมลดรอยแผลเป็น Mederma

ภาพจาก : Mederma official store

          มีเดอร์มา พีเอ็ม อินเทนซีฟ โอเวอร์ไนท์ ครีม (Mederma PM Intensive Overnight Cream) เป็นครีมลดรอยแผลเป็นสูตรกลางคืนที่มีเนื้อสัมผัสเข้มข้นแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในกระบวนการฟื้นบำรุงผิวตามธรรมชาติในขณะที่นอนหลับ อุดมไปด้วยสารสกัดธรรมชาติจากหัวหอม ผสานกับ Rovisome Technology ที่ช่วยให้ผิวซึมซับส่วนผสมของครีมเร็วขึ้น เน้นการดูแลปัญหารอยแผลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว หลุมสิว รอยแผลจากการผ่าตัด บาดเจ็บ ผิวไหม้ หรือผิวหลังทำเลเซอร์ก็ใช้ได้ค่ะ 

  • วิธีใช้ : ทาหลังจากที่แผลแห้งและปิดสนิทแล้ว วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน ควรใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 8 สัปดาห์ (สำหรับรอยแผลใหม่) หรือ 3-6 เดือน (สำหรับรอยแผลเก่า)

  • ราคาปกติ : ขนาด 20 กรัม 900 บาท

5. ครีมลดรอยแผลเป็น Clena Scar C

ครีมลดรอยแผลเป็น Clena Scar C

ภาพจาก : Clena

          หากต้องการลดรอยแผลเป็นนูน คีลอยด์ หรือรอยแผลผ่าตัดโดยเฉพาะ "คลีน่า สการ์ ซี (Clena Scar C)" หลอดนี้น่าจะตรงกับความต้องการ เพราะมาพร้อมส่วนผสมหลักอย่าง Cyclopentasiloxane (CPX) 98% ซึ่งเป็นสารสกัดซิลิโคนที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดโอกาสการเกิดแผลเป็นนูน เสริมด้วยวิตามินซี 2% ที่ช่วยปรับให้รอยแผลเป็นแลดูจางลงและเรียบเนียนขึ้น ตัวเนื้อเจลมีความบางเบา เกลี่ยง่าย ซึมซาบไว ไม่ทิ้งความเหนอะหนะ ทำให้สามารถใช้ทาก่อนแต่งหน้าได้ทันที สูตรนี้เหมาะสำหรับแผลเป็นที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่เกิน 6 เดือน และมีความอ่อนโยนจึงสามารถใช้ได้ทั้งผิวหน้า ผิวกาย และทุกสภาพผิว 

  • วิธีใช้ : ทาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เป็นประจำทุกวัน 

  • ราคาปกติ : ขนาด 15 กรัม 520 บาท

6. ครีมลดรอยแผลเป็น Provamed Scar Silicone

ครีมลดรอยแผลเป็น Provamed Scar Silicone

ภาพจาก : provamed.co.th

          “โปรวาเมด สการ์ ซิลิโคน (Provamed Scar Silicone)” เป็นครีมลดรอยแผลเป็นในรูปแบบเนื้อเจลซิลิโคนที่บางเบาและซึมซาบไวเช่นกัน เหมาะสำหรับดูแลรอยแผลเป็นหลากหลายชนิด ทั้งจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก รวมถึงแผลเป็นจากการศัลยกรรมและการผ่าตัดไปจนถึงคีลอยด์ เจลนี้มีส่วนผสมเด่นคือ Epitensive ซึ่งเป็นโปรตีนจากพืชที่ช่วยให้ผิวค่อย ๆ เรียบเนียนและอ่อนนุ่มลง ผสานกับ CPX ที่ทำหน้าที่สร้างฟิล์มปกป้องรอยแผลเป็นให้แห้งเร็ว พร้อมทั้งบำรุงผิวด้วยวิตามิน C และวิตามิน E  

  • วิธีใช้ : ทาบาง ๆ เช้า-เย็น โดยไม่ต้องถูนวด ควรใช้เป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง

  • ราคาปกติ : ขนาด 10 กรัม ราคา 390 บาท

7. ครีมลดรอยแผลเป็น Smooth E Scar Serum Advance Formula

7. ครีมลดรอยแผลเป็น Smooth E Scar Serum Advance Formula

ภาพจาก : Smooth E Official Store

          "สมูท อี สมูท สกา เซรั่ม แอดวานซ์ ฟอร์มูล่า" จากแบรนด์ Smooth E ที่หลายคนคุ้นชื่อกันดี หลอดนี้เป็นเซรั่มเนื้อสัมผัสบางเบา มีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติหลายชนิด เช่น สารสกัดจากหัวหอม สารสกัดจากเมล็ดถั่วแระ ว่านหางจระเข้ วิตามินอี วิตามินบี 3 รวมถึงสารลดเม็ดสีที่ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดง รอยคล้ำทั้งบนผิวหน้าและผิวกาย เหมาะสำหรับแผลเป็นระยะแรกเริ่มหรือเป็นมานานแล้ว

  • วิธีใช้ : ทาบริเวณรอยแผลเป็น นวดเบา ๆ ให้เจลซึมลงสู่ผิว วันละ 3-4 ครั้ง และควรใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง 

  • ราคาปกติ : ขนาด 10 กรัม 450 บาท

ครีมลดรอยแผลเป็น ทาตอนไหน 
เคล็ดลับใช้ให้เห็นผล

          อยากให้ครีมลดรอยแผลเป็นทำงานได้เต็มที่ และเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ลองทำตามวิธีง่าย ๆ เหล่านี้ได้เลยค่ะ

  1. รอให้แผลปิดสนิท : เริ่มทาครีมเมื่อแผลปิดสนิท ไม่มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลซึมแล้ว ห้ามใช้กับแผลสดเด็ดขาด
  2. ทำความสะอาดและเช็ดให้แห้ง : ก่อนทาครีมทุกครั้ง ต้องทำความสะอาดบริเวณรอยแผลเป็นให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้งสนิทจริง ๆ
  3. ใช้ปริมาณพอดี ๆ : บีบครีมลดรอยแผลเป็นออกมาแค่ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว หรือตามที่ผลิตภัณฑ์แนะนำ ทาแบบบาง ๆ แล้วนวดเบา ๆ เพื่อให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวมากยิ่งขึ้น
  4. ทาครีมบำรุงอื่นร่วมด้วย : หลังจากทาครีมลดรอยแผลเป็นแล้ว ควรรอให้แห้งสนิท จากนั้นค่อยทาครีมกันแดด หรือครีมบำรุงผิวอื่น ๆ ทับได้เลย ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวรอบ ๆ ให้สีเสมอกัน และป้องกันแสงแดดตัวร้ายที่อาจทำให้รอยแผลคล้ำขึ้นได้ 
  5. ต้องใช้อย่างต่อเนื่อง : การจะเห็นผลชัดเจนต้องใจเย็น ๆ และมีวินัย ใช้ครีมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อให้เห็นผลการลดเลือนรอยแผลเป็นที่ชัดเจน

ข้อควรระวัง
ในการใช้ครีมลดรอยแผลเป็น

ครีมลดรอยแผลเป็น ทาตอนไหน

          เพื่อความปลอดภัยในการใช้ครีมลดรอยแผลเป็น ควรปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้อย่างเคร่งครัด

  • อ่านคำเตือนและวิธีใช้ที่ระบุในฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์โดยละเอียดก่อนการใช้งาน

  • ผลิตภัณฑ์ครีมลดรอยแผลเป็นใช้สำหรับภายนอกเท่านั้น ห้ามรับประทาน

  • ควรใช้กับแผลเป็นที่เกิดขึ้นใหม่ไม่เกิน 6 เดือน และใช้กับผิวหนังที่แห้งและสะอาดเท่านั้น

  • ห้ามใช้บริเวณที่มีแผลเปิด แผลสด หรือแผลที่ยังปิดไม่สนิท

  • หลีกเลี่ยงการทาบริเวณผิวที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา

  • สำหรับครีมในกลุ่มซิลิโคน (Silicone Scar Gel) ห้ามใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดทาในบริเวณเดียวกัน เพราะซิลิโคนเจลทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน จึงส่งผลต่อการดูดซึมของยาปฏิชีวนะที่ทาตามลงไป

  • คนที่มีประวัติแพ้ยา หรือแพ้สารใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้

  • กรณีเป็นแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือมีแผลเป็นขนาดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนซื้้อยามาใช้เอง

  • หากใช้ยาแล้วมีผื่นแดง คัน หรืออาการอื่น ๆ ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที

          การเลือกครีมลดรอยแผลเป็นที่เหมาะสมที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยแผลเป็นและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ ควรเน้นการทาครีมอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำแนะนำในฉลาก ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาความสะอาดของแผล หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยไม่จำเป็น และดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเสริมให้ผิวกลับมาเรียบเนียน และลดเลือนร่องรอยต่าง ๆ ให้จางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้องกับแผลเป็น

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ครีมลดรอยแผลเป็น ยาทารอยแผลเป็น ยี่ห้อไหนดี ช่วยให้รอยดำจางลง ใช้ได้ทั้งผิวหน้า-ผิวกาย โพสต์เมื่อ 17 ธันวาคม 2568 เวลา 13:43:19 1,568 อ่าน
TOP
x close