วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก หรือ World Suicide Prevention Day ตรงกับวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี ประกาศครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2546 เพื่อให้คนทั่วโลกตระหนักว่า การฆ่าตัวตายนั้นสามารถป้องกันได้ ซึ่งประวัติวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก มีความสำคัญและเป็นมาอย่างไร เรามีข้อมูลมาฝาก
![วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก](http://img.kapook.com/u/2016/supparat/Kapook_Today_2016/KapookToday-1009-Kratoo.jpg)
ที่มาของวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก
จากสภาวะความเครียด ความวิตกกังวล และหลายปัจจัยที่เกิดขึ้นในชีวิต ส่งผลให้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจ "หนี" และ "ทิ้ง" ปัญหาทุกอย่างด้วยการ "ฆ่าตัวตาย" ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า โดยเฉลี่ยแล้วมีคนทั่วโลกฆ่าตัวตายถึงวันละเกือบ 3,000 คน เท่ากับว่าปี ๆ หนึ่งจะมีคนฆ่าตัวตายมากกว่า 1 ล้านคน และตัวเลขก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับจำนวนของผู้ที่ลงมือทำร้ายตัวเองที่มีมากกว่าผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จประมาณ 10-20 เท่า แน่นอนว่า คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งลดอัตราการฆ่าตัวตายทั่วโลกลง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านอื่น ๆ ตามมา ดังนั้นแล้ว จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี เป็น "วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก" (World Suicide Prevention Day) โดยประกาศเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546 เพื่อให้คนทั่วโลกตระหนักว่า การฆ่าตัวตายนั้นสามารถป้องกันได้ และให้มีการเผยแพร่ข้อมูล ปรับปรุงพัฒนาการศึกษา และการอบรมให้ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ธีมรณรงค์วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกของแต่ละปี
พร้อมกันนี้ องค์การอนามัยโลกก็ยังได้กำหนดธีม หรือหัวข้อการรณรงค์ของแต่ละปีไว้ด้วย ซึ่งธีมของแต่ละปี ก็ได้แก่
- พ.ศ. 2546 : Suicide can be Prevented
- พ.ศ. 2547 : Saving Lives, Restoring Hope
- พ.ศ. 2548 : Prevention of Suicide is Everybody\'s Business
- พ.ศ. 2549 : With Understanding, New Hope
- พ.ศ. 2550 : Suicide Prevention Across the Lifespan
- พ.ศ. 2551 : Think Globally, Plan Nationally, Act Locally
- พ.ศ. 2552 : Suicide in Different Cultures
- พ.ศ. 2553 : Many Faces, Many Places: Suicide Prevention Across the World
- พ.ศ. 2554 : Preventing Suicide in Multicultural Societies
- พ.ศ. 2546 : Suicide can be Prevented
- พ.ศ. 2547 : Saving Lives, Restoring Hope
- พ.ศ. 2548 : Prevention of Suicide is Everybody\'s Business
- พ.ศ. 2549 : With Understanding, New Hope
- พ.ศ. 2550 : Suicide Prevention Across the Lifespan
- พ.ศ. 2551 : Think Globally, Plan Nationally, Act Locally
- พ.ศ. 2552 : Suicide in Different Cultures
- พ.ศ. 2553 : Many Faces, Many Places: Suicide Prevention Across the World
- พ.ศ. 2554 : Preventing Suicide in Multicultural Societies
- พ.ศ. 2555 : Creating Hope Through Action
วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกในประเทศไทย
ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา โดยสถิติในปี พ.ศ. 2553 ที่กระทรวงสาธารณสุขรวบรวมมา พบว่า มีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จอยู่ที่ 5.90 คนต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งเมื่อเทียบกับอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศแถบเอเชียถือว่า ประเทศไทยมีตัวเลขของการฆ่าตัวตายต่ำกว่าประเทศอื่น
ขณะที่ข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมสุขภาพจิต และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2548-2553 พบว่า วัยทำงานอายุระหว่าง 15-59 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุด คือ 7.1 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ในจำนวนนี้กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-59 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 4.6 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-29 ปี ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.2 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ทั้งนี้ ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเกือบ 4 เท่าตัวของการฆ่าตัวตายของทุกปี
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการฆ่าตัวตาย
ในส่วนของปัจจัยที่ทำให้เกิดการฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งด้านชีวภาพ จิตใจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพบปัจจัยของโรคซึมเศร้าร่วมด้วย แต่หากเจาะลึกเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น จะพบว่าสาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นฆ่าตัวตายมากที่สุด คือ ผิดหวังในเรื่องความรัก ประสบกับปัญหาการเล่าเรียน และปัญหาทางด้านครอบครัว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทยจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะปัญหาการฆ่าตัวตาย นอกจากจะส่งผลกระทบต่อคนใกล้ชิดของผู้ที่คิดสั้นเองแล้ว ยังก่อให้เกิดความสูญเสียเชิงเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย โดยเฉพาะหากผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในวัยทำงาน
เช่นนั้นแล้ว "ครอบครัว" ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ควรจะเฝ้าระแวดระวัง และพูดคุย ให้กำลังใจคนในครอบครัวให้มาก นอกจากนี้ ชุมชน กรมสุขภาพจิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและทักษะในการแก้ปัญหาชีวิตให้แก่ประชาชน เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายให้น้อยลง
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ไทยโพสต์, องค์การอนามัยโลก, สมาคมนานาชาติเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย, กรมสุขภาพจิต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทยจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะปัญหาการฆ่าตัวตาย นอกจากจะส่งผลกระทบต่อคนใกล้ชิดของผู้ที่คิดสั้นเองแล้ว ยังก่อให้เกิดความสูญเสียเชิงเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย โดยเฉพาะหากผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในวัยทำงาน
เช่นนั้นแล้ว "ครอบครัว" ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ควรจะเฝ้าระแวดระวัง และพูดคุย ให้กำลังใจคนในครอบครัวให้มาก นอกจากนี้ ชุมชน กรมสุขภาพจิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและทักษะในการแก้ปัญหาชีวิตให้แก่ประชาชน เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายให้น้อยลง
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ไทยโพสต์, องค์การอนามัยโลก, สมาคมนานาชาติเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย, กรมสุขภาพจิต