โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรต้องระวังไม่ใช่แค่โรคเอดส์ แต่โรค HPV ไวรัสตัวร้ายนี้ก็ไม่ควรไว้วางใจด้วยเช่นกัน เพราะไวรัส HPV เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ซ้ำร้ายอาการของโรค HPV ยังสังเกตได้ยาก เรียกได้ว่าหากติดเชื้อ HPV อาจไม่มีอาการแสดงออกของโรคเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราควรมาเช็กสัญญาณอันตรายของโรค HPV เพื่อให้รู้เท่าทันโรคดีกว่า เช็กซิ คุณมีสัญญาณของโรค HPV ตามนี้หรือเปล่า
HPV คืออะไร
ซึ่งโดยส่วนมากการติดเชื้อ HPV มักจะไม่แสดงอาการและสามารถหายได้เองภายในระยะเวลา 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานในร่างกายของแต่ละคน ทว่าบางเคสอาจมีการติดเชื้อ HPV นานหลายปี และอาจนำไปสู่การเป็นมะเร็งปากมดลูกในที่สุด
HPV อาการเป็นอย่างไร สังเกตได้จากตรงไหนกันนะ ?
1. มีหูดขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่ากำลังติดเชื้อ HPV โดยหูดอาจมีลักษณะแตกต่างกันไป เช่น มีลักษณะเป็นตุ่มนูน ตุ่มเรียบแบน เป็นตุ่มสีชมพู หรือเป็นตุ่มสีเนื้อ (ซึ่งสังเกตยากมาก) แต่จะสังเกตได้จากความตะปุ่มตะป่ำของผิวเนื้อ ซึ่งบางคนอาจมีหูดขึ้นไม่มาก แต่บางเคสอาจมีหูดขึ้นหลาย ๆ ตุ่ม มีขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่เคส ไม่มีอาการเจ็บ
โดยหูดอาจขึ้นได้ทั้งบริเวณช่องคลอด ปากมดลูก อัณฑะ ทวารหนัก ขาหนีบ หรือขาอ่อน ทั้งนี้หูดอาจขึ้นหลังจากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ HPV ประมาณ 1-4 สัปดาห์ขึ้นไป
2. มีอาการคัน แสบร้อนหรือตึงบริเวณที่ติดเชื้อ HPV
3. มีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์
4. ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
5. ปริมาณตกขาวมากกว่าปกติ
6. ประจำเดือนมาผิดปกติ
7. มีสารคัดหลั่งออกทางช่องคลอด หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งอาการนี้อาจพบได้น้อยมาก
8. ท่อทางเดินปัสสาวะอุดตัน อาจมีอาการปัสสาวะขัด (พบได้น้อยมาก)
การวินิจฉัยโรค
ผู้ติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูก จะถูกตรวจพบว่าผล Pap Smear (การตรวจสอบความผิดปกติของเซลล์ที่อาจก่อมะเร็งด้วยการขูดเซลล์บริเวณปากมดลูก) มีความผิดปกติ และสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก
ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค แพทย์อาจตรวจหาภาวะอักเสบและติดเชื้อด้วยวิธี Colposcopy (การส่องกล้องเพื่อหาตำแหน่งที่ผิดปกติของปากมดลูกหรือช่องคลอด) และทำการตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าวมาตรวจหาความเสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูกเพิ่มเติม
HPV รักษาได้ด้วยวิธีไหน
โดยปกติแล้ว กว่า 95% ของผู้ติดเชื้อ HPV อาจหายได้เองภายในระยะเวลา 2-3 ปีหลังจากติดเชื้อ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานในตัวของผู้ติดเชื้อแต่ละรายด้วย และก็มีเคสที่เชื้อยังคงอยู่ในตัวผู้ป่วยเป็นเวลานานหลายปี จนอาจนำไปสู่ความเสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูก
อย่างไรก็ตาม การรักษาหรือกำจัดเชื้อ HPV ยังทำได้เพียงผ่าตัดชิ้นเนื้อที่ติดเชื้อออกไป ยังไม่สามารถยับยั้งการแพร่เชื้อ HPV ในร่างกายได้อย่างหมดจด ดังนั้นผู้ติดเชื้อ HPV จึงมีโอกาสกลับมาติดเชื้อนี้ได้อีกครั้ง
แนวทางการปฏิบัติตัวเมื่อติดเชื้อ HPV
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เช่น รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ ครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงความวิตกกังวลและความเครียด
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- งดสูบบุหรี่
- งดรับประทานยาคุมกำเนิด ในกรณีที่รับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานกว่า 5 ปี
- ตรวจ Pap Smear ทุก 6 เดือน และตรวจหาเชื้อ HPV ทุก 12 เดือน เพื่อติดตามภาวะการแพร่ของเชื้อ HPV
การป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ HPV
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกได้
เกร็ดน่ารู้ สำหรับผู้ติดเชื้อ HPV
- ผู้ติดเชื้อ HPV กว่า 95% สามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เอง จากภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้น
- ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่ไม่เป็นมะเร็งปากมดลูก นั่นหมายความว่า หากติดเชื้อ HPV ก็อาจไม่เสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูกเสมอไป
- ส่วนใหญ่เมื่อวินิจฉัยโรคในขั้นตรวจด้วยกล้องขยายทางช่องคลอด ผลปรากฏว่า มีผู้ตรวจพบความผิดปกติที่ปากมดลูกน้อยมาก แปลได้ว่า ผู้ติดเชื้อ HPV อาจไม่เสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูกทุกคนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อ HPV ไม่ได้หมายความว่าคุณหรือคู่นอนของคุณมีพฤติกรรมชอบเปลี่ยนคู่นอนเสมอไป เพราะมีการวิจัยที่ยืนยันได้ว่า แม้เพศหญิงหรือเพศชายที่มีคู่นอนเพียงคนเดียว ก็มีสิทธิ์ติดเชื้อ HPV ได้ และแม้ HPV จะเป็นเชื้อที่ติดต่อกันได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเชื้อ HPV ที่ไม่ก่อโรค
ขอบคุณข้อมูลจาก
CHULA CANCER
Centers for Disease Control and Prevention
สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย
WebMD