![ฝีดาษลิง](https://s359.kapook.com//pagebuilder/518c63ec-907b-473c-840b-6c8f737a879e.jpg)
1. ฝีดาษลิง คืออะไร
โรคฝีดาษลิง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Monkeypox คือ โรคติดต่อจากสัตว์สู่สัตว์ และสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้ โดยลิงไม่ใช่แหล่งรังโรค แต่พาหะคือ สัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระต่าย เป็นต้น และสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 หรือ พ.ศ. 2493 ที่ค้นพบไวรัสชนิดนี้ครั้งแรกในลิง จึงถูกตั้งชื่อว่า "ฝีดาษลิง"
ทั้งนี้ มีรายงานพบฝีดาษลิงในมนุษย์ครั้งแรกที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เมื่อปี พ.ศ. 2513 ก่อนจะพบการระบาดใน 11 ประเทศแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก กระทั่งมาพบโรคนี้นอกพื้นที่แอฟริกาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากการนำเข้าสัตว์ที่ติดเชื้อ
ขณะที่ในปี พ.ศ. 2565 กลับพบการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงกระจายอยู่ในประเทศอื่น ๆ นอกเขตแอฟริกา ทั้งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา เบลเยียม ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส เป็นต้น รวมทั้งในประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสกับผู้ติดเชื้อที่เป็นชาวต่างชาติมาก่อน
2. ฝีดาษลิง เกิดจากอะไร
![ฝีดาษลิง](https://s359.kapook.com//pagebuilder/2cd504ee-e855-499a-9082-c19f1add2b12.jpg)
ฝีดาษลิง เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มพอกซ์วิริเด (Poxviridae) จัดอยู่ในจีนัสไวรัสออร์โธพอกซ์ (Orthopoxvirus) ซึ่งเป็นเชื้อในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคไข้ทรพิษหรือโรคฝีดาษในอดีต โดยมีไวรัส 2 สายพันธุ์หลัก คือ สายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก มีอาการไม่รุนแรง อัตราการเสียชีวิต 1% และสายพันธุ์แอฟริกากลาง ที่มีความรุนแรงมาก อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 10% อย่างไรก็ตาม ไวรัสชนิดนี้กลายพันธุ์ได้น้อย เพราะเป็นไวรัส DNA ต่างจากโควิดที่เป็น RNA
3. ฝีดาษลิง ติดต่อสู่คนยังไง
-
สัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ
-
การแพร่เชื้อจากคนสู่คนผ่านสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ เช่น การสูดละอองฝอยจากการไอ จาม ในระยะใกล้ ๆ รวมไปถึงการกอด จูบ และการมีเพศสัมพันธ์
-
การสัมผัสข้าวของเครื่องใช้ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ หรือปนเปื้อนสารคัดหลั่งอยู่ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วย
-
การติดต่อจากแม่สู่ลูกในครรภ์
-
ถูกสัตว์มีเชื้อกัดข่วน
-
การกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ
4. ฝีดาษลิง อาการเป็นยังไง
![ฝีดาษลิง](https://s359.kapook.com//pagebuilder/70a5d15e-5d98-408b-a63c-d3d77eecd937.jpg)
- มีไข้
- เจ็บคอ
- ปวดศีรษะ
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดหลัง
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย
- ภายใน 1-3 วัน หลังมีไข้ จะมีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า และกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แขน ขา แต่ก็อาจพบในบริเวณช่องปาก อวัยวะเพศได้ด้วย
- ลักษณะผื่นจะพัฒนาไปตามระยะคือ มีผื่นนูนแดง ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง สีขาวเหลือง มีรอยบุ๋มตรงกลาง จนกระทั่งในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดหลุดออกมา
ทั้งนี้ ผศ. ดร.นพ.ปวิน นำธวัช อาจารย์ประจำภาควิชาระบาดวิทยาคลินิกและชีวสถิติ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการให้ข้อมูลถึงลักษณะอาการ และการดำเนินโรคของโรคฝีดาษลิง ผ่านทวิตเตอร์@Pawin Numthavaj โดยอ้างอิงจากรายงานของทีมนักวิจัยระหว่างประเทศที่มีการรายงานไว้ในงานวิจัยรวม 528 เคส จากการรายงานใน 16 ประเทศ ซึ่งพบว่า อาการหลัก ๆ ของโรคฝีดาษลิง มีดังนี้
- มีผื่น 95% (ที่บริเวณในร่มผ้า 73% แขนขา 55% หน้า 25%) โดยส่วนใหญ่มีน้อยกว่า 5 จุด (39%) มีผื่นเกิน 20 จุดแค่ 11% ผื่นส่วนใหญ่เป็นแบบตุ่มหนอง (Vesiculopustular) รองลงมาคือเป็นแบบหลุม (Ulcer)
- มีไข้ 62%
- มีต่อมน้ำเหลืองโต 56%
- มีอาการเจ็บคอ 21%
5. ฝีดาษลิง รุนแรงไหม อัตราการตายสูงหรือเปล่า
สำหรับโรคฝีดาษลิง ผู้ป่วยมักจะมีอาการป่วยอยู่ราว ๆ 2-4 สัปดาห์ และส่วนใหญ่จะหายได้เอง โรคนี้มีความรุนแรงน้อยกว่าฝีดาษคน 3-10 เท่า แต่ทั้งนี้ก็มีเคสที่อาการรุนแรงจนทรุดและเสี่ยงเสียชีวิตได้เหมือนกัน โดยเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อในปอด การขาดน้ำและภาวะสมองอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดในเด็กได้มากกว่าผู้ใหญ่ค่ะ รวมทั้งคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ขณะที่อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคฝีดาษลิง จากสถิติของทางแถบแอฟริกา พบว่าอัตราเสียชีวิตในเด็กมีอยู่ราว ๆ 3-10% อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 3.6%
6. ฝีดาษลิง ใครเสี่ยงบ้าง
![ฝีดาษลิง](https://s359.kapook.com//pagebuilder/429b9089-97fb-4531-8c08-33fbbe5c0556.jpg)
- ผู้ที่ต้องทำงานกับสัตว์ เช่น ลิง วัว กระรอก หนู หรือสัตว์ที่สามารถติดเชื้อก่อโรคฝีดาษได้
- ผู้ที่ต้องทำงานโดยสัมผัสเชื้อพวกนี้โดยตรง เช่น ในห้องแล็บ ห้องเพาะเชื้อ ห้องทดลองต่าง ๆ
- ผู้ที่จำเป็นจะต้องไปทำงานในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคอยู่
- เด็ก เพราะเสี่ยงติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรง
- คนที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2523
7. คนเกิดหลังปี พ.ศ. 2523
ยิ่งเสี่ยงมากกว่าอายุอื่น เพราะอะไร
อย่างที่บอกว่าโรคฝีดาษไม่ใช่โรคใหม่ แต่พบมากว่า 200 ปี แล้ว และในช่วงที่มีการระบาดในอดีต เด็กทุกคนจะต้องได้รับการปลูกฝี หรือก็คือการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ ที่จะช่วยป้องกันโรคฝีดาษได้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป การระบาดเริ่มมีแววควบคุมได้และหยุดการแพร่กระจายเชื้อ จึงเริ่มทยอยลดการปลูกฝีในประเทศไทย โดยเริ่มชะลอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2523 ทาง WHO ได้ประกาศว่าสามารถระงับการระบาดของโรคฝีดาษได้แล้ว ทั่วโลกจึงยกเลิกการปลูกฝีตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา ซึ่งเท่ากับว่าคนที่เกิดหลังปี พ.ศ. 2523 แทบจะไม่ได้รับการปลูกฝีกันเลย จึงไม่มีภูมิคุ้มกันของโรคฝีดาษ แต่อาจจะมีบางคนที่แม้จะเกิดหลังปี พ.ศ. 2523 แล้วเคยปลูกฝีป้องกันโรคฝีดาษอยู่เหมือนกัน
8. ฝีดาษลิง รักษายังไง
![ฝีดาษลิง](https://s359.kapook.com//pagebuilder/47b34806-7570-4699-8a41-17abe9ed3c35.jpg)
9. ฝีดาษลิง มีวัคซีนป้องกันไหม
เราสามารถฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ หรือการปลูกฝี ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ประมาณ 85% และวัคซีนตัวนี้ยังสามารถป้องกันโรคไข้ทรพิษได้ด้วยค่ะ แต่ทั่วโลกแทบไม่มีการฉีดวัคซีนชนิดนี้แล้ว
อย่างไรก็ดี วัคซีนก็ยังมีการผลิตขึ้นเพื่อป้องกันการใช้เป็นอาวุธชีวภาพ และป้องกันโรคฝีดาษลิง ซึ่งสหรัฐอเมริกามีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคฝีดาษคน 2 ตัว และได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จากสหรัฐอเมริกา (FDA) แล้ว คือ
- วัคซีน Imvamune (Imvanex หรือ Jynneos) ของบริษัท Bavarian Nordic
- วัคซีน ACAM2000 ของบริษัท Acambis
10. ฝีดาษลิง ป้องกันอย่างไรได้อีกบ้าง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก ลิง เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ป่า เนื้อสัตว์ชนิดแปลก ๆ
- หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ หรือเมื่อเดินทางเข้าไปในป่า
- ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการคัดกรองโรค
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าที่มาจากพื้นที่เสี่ยง หรือสัตว์ป่าป่วย
- หลีกเลี่ยงการเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์ป่าจากต่างประเทศที่ไม่ทราบประเทศต้นทาง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ที่มีประวัติมาจากพื้นที่เสี่ยงและมีอาการป่วย
- กรณีเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน
- หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที และทำการแยกกักตัว เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อ
สำหรับสถานการณ์ของโรคฝีดาษลิงในประเทศไทยนั้น กรมควบคุมโรครายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 สิงหาคม 2566 พบผู้ติดเชื้อแล้ว 217 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และการระบาดในช่วงหลัง ๆ จะพบในชาวไทยเกือบทั้งหมด ส่วนคนต่างชาติที่ติดเชื้อเป็นการติดเชื้อในประเทศไทย ไม่ได้นำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศเหมือนแต่ก่อน
อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปยังไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะผู้ติดเชื้อเกือบ 100% เป็นผู้ชายที่มีความเสี่ยงทางเพศ หากไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศอย่างประชาชนทั่วไปก็แทบไม่มีโอกาสติดเชื้อเลย
บทความที่เกี่ยวข้องกับโรคฝีดาษ
- รู้จัก โรคฝีดาษลิง ที่กำลังระบาดในยุโรป-อเมริกา อันตรายแค่ไหน-ติดได้ยังไง
- ฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ โรคระบาดวายร้าย ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนมากมายในอดีต
- วัคซีนฝีดาษลิงมีไหม ฉีดได้ที่ไหน เราจำเป็นต้องฉีดหรือเปล่า
- หมอรามาฯ เผยอาการ ฝีดาษลิง จาก 16 ประเทศ คล้ายซิฟิลิสจนหมอสับสนบางเคส
- ผู้ป่วยฝีดาษลิง เพศชายอายุ 34 ปี เสียชีวิตรายแรกของไทย - พบโรคซ้อนเพียบ
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2566
ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก World Health Organization (WHO), สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (1), (2), เฟซบุ๊ก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (2), เฟซบุ๊ก หมอเวร, Thai PBS (2), เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan, โรงพยาบาลพระราม 9, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, เฟซบุ๊ก Infectious ง่ายนิดเดียว, ทวิตเตอร์@Pawin Numthavaj, กรุงเทพธุรกิจ, เฟซบุ๊ก Drama-addict