โนโรไวรัส เป็นไวรัสตัวใหม่จริงไหม
โนโรไวรัส (Norovirus) ไม่ใช่เชื้อโรคใหม่ แต่เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย ท้องร่วงอย่างเฉียบพลัน ซึ่งโรคนี้แพร่ระบาดมานานกว่า 10 ปีแล้วในหลายประเทศ อย่างในประเทศจีนหรือไทยก็พบได้ทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่มีสภาวะอากาศเย็นและแห้ง ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีและปนเปื้อนมากับอาหารและน้ำดื่ม ส่วนใหญ่มักพบการระบาดในสถานที่ที่คนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียน โรงพยาบาล เรือสำราญ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าพบนักเรียนในจังหวัดระยองป่วยเป็นโนโรไวรัสกว่าพันคนนั้น ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงว่า อาการท้องเสียของเด็กส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้ออีโคไล และโคลิฟอร์ม แบคทีเรีย โดยพบการติดเชื้อโนโรไวรัสเพียง 2 คนเท่านั้น เหตุการณ์ดังกล่าวจึงไม่ใช่การระบาดของโนโรไวรัสแต่อย่างใด
โนโรไวรัส ติดต่อได้ทางไหน
เชื้อโนโรไวรัสสามารถติดต่อและแพร่กระจายได้หลายทาง ทั้งการสัมผัสทางอาหาร น้ำดื่ม อากาศ คือ
- การสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย เช่น สัมผัสผู้ป่วยที่ติดเชื้อโนโรไวรัสโดยตรง หรือสัมผัสของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วยที่ปนเปื้อนเชื้อ
- กินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น อาหารทะเลดิบ ๆ, ผัก-ผลไม้ที่ล้างไม่สะอาด, น้ำแข็งที่ทำจากน้ำที่ปนเปื้อน
- การสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อโนโรไวรัส เช่น มือจับประตู ราวบันได ปุ่มลิฟต์ แล้วนำมือเข้าปาก
ทั้งนี้ เชื้อโนโรไวรัสติดต่อกันได้ง่ายมาก และสามารถอยู่ในอุจจาระของผู้ป่วยได้นานถึง 2 สัปดาห์ ดังนั้น หากสมาชิกคนใดคนหนึ่งในบ้านมีอาการท้องเสียจากโนโรไวรัส คนอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้เช่นกัน ยกเว้นว่าจะรีบแยกตัวผู้ป่วยออกจากคนอื่น และทำความสะอาดบ้านอย่างหมดจด
โนโรไวรัส ระยะฟักตัวกี่วัน
โนโรไวรัส อาการเป็นอย่างไร
เนื่องจากโนโรไวรัสเป็นโรคติดเชื้อที่ระบบทางเดินอาหาร จึงมักทำให้เกิดอาการรุนแรงและฉับพลัน โดยอาการที่พบบ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่มีดังนี้
-
คลื่นไส้ อาเจียนบ่อยครั้ง
-
ปวดมวนท้อง ท้องเสียอย่างรุนแรง และอาจมีเลือดปน
-
รู้สึกปวดเกร็ง ๆ บริเวณท้อง
-
มีไข้ เป็นไปได้ทั้งไข้ต่ำและไข้สูงในบางราย
-
ปวดเมื่อยตามร่างกาย รู้สึกอ่อนเพลีย
-
ปวดศีรษะ
ในบางคนอาจมีอาการหนาวสั่น ปัสสาวะไม่ออก หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ร่วมด้วย
โนโรไวรัสกี่วันหาย
โนโรไวรัสยังแพร่เชื้อได้
แม้หายป่วยแล้ว
โนโรไวรัส อันตรายไหม
สำหรับคนทั่วไป โนโรไวรัสไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัวที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าวัยอื่น ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
-
โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลันที่รุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
-
ภาวะขาดน้ำจากอาการอาเจียนและท้องเสียอย่างรุนแรง
-
การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
-
การอักเสบของต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
-
อาเจียนรุนแรงและต่อเนื่อง
-
ท้องเสียรุนแรงหรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด
-
มีไข้สูง
-
อ่อนเพลียมาก
-
ปากแห้ง
-
ปัสสาวะน้อยลง ปัสสาวะไม่ออก
-
รู้สึกสับสน
-
หายใจหอบเหนื่อย
โนโรไวรัส รักษายังไง
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะเจาะจงสำหรับโรคนี้ ดังนั้นการรักษาจึงเน้นไปที่การบรรเทาอาการที่เป็นและป้องกันภาวะขาดน้ำ เช่น
-
ดื่มสารละลายเกลือแร่ (ORS) เมื่อท้องเสียและอาเจียน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะช็อกและเสียชีวิต
-
กินยาลดไข้หากมีไข้ แต่ห้ามกินยาปฏิชีวนะเด็ดขาด เพราะโรคนี้เกิดจากติดเชื้อไวรัส การใช้ยาปฏิชีวนะจึงไม่ได้ผล
-
หากมีอาการคลื่นไส้สามารถกินยาแก้คลื่นไส้อาเจียนได้
-
รับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม เพื่อให้ระบบทางเดินอาหารได้พักผ่อน
-
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามนี้โดยส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นและหายไปได้เองภายใน 1-3 วัน
ทำไมแอลกอฮอล์
ฆ่าโนโรไวรัสไม่ได้
โนโรไวรัส ป้องกันได้อย่างไร
แม้ว่าจะไม่มีวัคซีนป้องกันโนโรไวรัสโดยเฉพาะ แต่เราก็สามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
-
ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอย่างน้อย 20 วินาทีทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ รวมทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร
-
รับประทานอาหารปรุงสุก หลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะอาหารทะเล
-
อาหารปรุงสุกที่เก็บไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง หากจะนำมารับประทานใหม่ต้องอุ่นอาหารให้ร้อนจัดทั่วถึงก่อนรับประทานทุกครั้ง
-
กินร้อน ใช้ช้อนกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
-
ล้างผัก-ผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
-
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด น้ำดื่มบรรจุขวดที่บรรจุภัณฑ์ปิดไม่สนิท หรือน้ำแข็งบรรจุถุงที่ดูไม่สะอาด
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่ไม่สะอาด
-
ดูแลรักษาความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ และหมั่นทำความสะอาดพื้นผิว เช่น ห้องน้ำ พื้นผิวที่สัมผัสบ่อย ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของคลอรีน
-
หากมีคนในบ้านป่วยไม่ควรสัมผัสใกล้ชิด ควรแยกของใช้ส่วนตัวและแยกภาชนะในการรับประทานอาหาร รวมทั้งทำความสะอาดบริเวณที่ผู้ป่วยสัมผัสบ่อย ๆ
โนโรไวรัสเป็นโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้ง่าย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี เช่น ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำ แต่หากวันไหนมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องเสียอย่างรุนแรง อาเจียนบ่อย มีไข้สูง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป
บทความที่เกี่ยวข้องกับโนโรไวรัส
- โนโรไวรัส การติดเชื้อท้องเสียที่กำลังระบาดในเด็ก อันตรายแค่ไหน ?
- ความจริงเกี่ยวกับโนโรไวรัสที่กำลังระบาดอยู่ในจีน จะซ้ำรอยโควิดไหม อ.เจษฎาตอบแล้ว
- วิธีแก้ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ กินยาอะไรช่วยบรรเทาอาการได้
- ท้องเสียกินอะไรถึงจะหาย อาการไม่สบายกายที่แก้ได้ด้วยอาหาร
- อุจจาระร่วง ใครว่าไม่อันตราย ไม่ระวังก็ถึงตายได้เหมือนกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (1), (2), ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย, nbcnews.com, uchealth.org