
ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรไทยที่มีการศึกษาทางคลินิกพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิด 19 (SARS-CoV-2) ที่ผ่านมาจึงถูกนำมาใช้บรรเทาอาการโควิดเบื้องต้นกันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงโควิดระบาดแรก ๆ ตามคำแนะนำของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และตามแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ที่แนะนำให้แพทย์พิจารณาใช้ยาฟ้าทะลายโจรกับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อ COVID-19 ที่รุนแรง และไม่มีข้อห้ามต่อการใช้ฟ้าทะลายโจร
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2568 สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย, สมาคมเวชบำบัดวิกฤตแห่งประเทศไทย, ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกเอกสารแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) พ.ศ. 2568 โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญก็คือ ไม่แนะนำให้ใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ด้วยเหตุผลดังนี้
เปิดเหตุผลไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด

หากอ้างอิงจากรายงานฉบับดังกล่าว เหตุผลที่ไม่แนะนำให้ใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ มีอาการน้อย หรือมีอาการปานกลาง เนื่องจากมีข้อมูลการศึกษาในประเทศไทยพบว่า ผู้ป่วยโควิดที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย จำนวน 185 คน ที่กินสารสกัดฟ้าทะลายโจร ไม่ได้ช่วยลดอัตราการดำเนินโรคที่รุนแรงมากขึ้น และไม่ช่วยลดอาการต่าง ๆ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก
ขณะที่อีกการศึกษาหนึ่งที่วิจัยกับผู้ป่วยโควิดที่มีความรุนแรงของโรคน้อยหรือปานกลาง จำนวน 146 คน ก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกันคือ การให้สารสกัดฟ้าทะลายโจรเพิ่มเติมจากการให้ยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ช่วยลดอัตราการดำเนินโรคที่รุนแรงมากขึ้น และไม่ลดปริมาณเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เมื่อเทียบกับยาหลอก โดยการศึกษานี้ดำเนินการในช่วงที่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลตา และผู้ป่วย 10-20% มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ SARS-CoV-2 อยู่แล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่แนะนำอย่างยิ่งที่จะใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด
วิธีรักษาโควิดล่าสุด ปี 2568

ผู้ป่วยไม่มีอาการ
- ไม่ให้ยาต้านไวรัส
- ให้เว้นระยะห่างจากผู้อื่น ใส่หน้ากาก และล้างมือบ่อย ๆ อย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 5 วัน
ผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อย ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโควิดรุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ
- ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก
- ไม่ให้ยาต้านไวรัส
- ให้ดูแลรักษาตามอาการตามดุลยพินิจของแพทย์
- ให้เว้นระยะห่างจากผู้อื่น ใส่หน้ากาก และล้างมือบ่อย ๆ อย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 5 วัน
ผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อย แต่มีปัจจัยเสี่ยง
คนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโควิด 19 รุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือมีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลางที่ยังไม่ต้องให้ออกซิเจน ใช้แนวทางรักษาคือ
- ให้กินยาต้านไวรัสโดยเร็วที่สุดภายใน 5-7 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ โดยแพทย์เลือกยาต้านไวรัส 1 ชนิด คือ Nirmatrelvir/Ritonavir หรือ Remdesivir หรือ Molnupiravir (ห้ามใช้ Molnupiravir ในหญิงตั้งครรภ์) และไม่แนะนำให้กินยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)
- ให้เว้นระยะห่างจากผู้อื่น ใส่หน้ากาก และล้างมือบ่อย ๆ อย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 5 วัน
- อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
- โรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease) (ระยะที่ 3 ขึ้นไป)
- โรคหัวใจและหลอดเลือด (ไม่รวมโรคความดันโลหิตสูง)
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคมะเร็ง (ไม่รวมมะเร็งที่รักษาหายแล้ว)
- เบาหวาน
- ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือดัชนีมวลกาย ≥30 กก./ตร.ม.)
- ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป)
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เป็นโรคที่อยูในระหว่างได้รับยาเคมีบำบัด ยากดภูมิ หรือยากลุ่มสเตียรอยด์ที่มีขนาดยาเทียบเท่า prednisolone 15 มก./วัน นานตั้งแต่ 15 วันขึ้นไป)
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีจำนวนซีดีโฟร์ (CD4 cell count) น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม
บทความที่เกี่ยวข้องกับโควิด 19
- เจ็บคอจากโควิด 19 กินยาอะไร มีวิธีไหนช่วยบรรเทาอาการแสบคอได้บ้าง
- ติดโควิดกินยาอะไรได้บ้าง เช็กวิธีรักษาอาการโควิด ปี 2568 สำหรับคนพักฟื้นที่บ้าน
- อาการโควิด 2568 เป็นยังไง ติดโควิดกี่วันหาย กักตัวกี่วัน เช็กข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่นี่ !
- 7 วิตามินที่ควรกินหลังติดโควิด 19 ช่วยฟื้นฟูร่างกาย เลือกกินอะไรช่วยได้บ้าง
- ชุดตรวจโควิด ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 มีติดบ้านไว้ตรวจโควิดเองได้ง่าย ๆ พร้อมชี้เป้าแหล่งช้อป !