
เตือนนักแชทระวังไว้ให้ดี แชทบ่อย ส่งข้อความทุกเวลาเสียทั้งสุขภาพ ความสัมพันธ์ แถมสมองก็รวน !
ตั้งแต่มีสมาร์ทโฟนเข้ามา ชีวิตเราก็สะดวกสบายขึ้น แต่ภายใต้ความทันสมัยนั้นไม่มีใครคาดคิดเลยว่า เทคโนโลยีจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและชีวิตของเราในด้านไหนได้บ้าง ซึ่งพอเราได้เห็นข้อความเตือนจาก BUSTLE แล้วก็ต้องรีบนำมาบอกต่อนักแชททั้งหลายด่วนเลยว่า ติดแชทเกินไปไม่ดีนะจ๊ะ เพราะส่งผลกระทบกับชีวิตเราได้ตามข้อมูลด้านล่างนี้เลย


ลำพังแค่นั่งทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในออฟฟิศก็ทำร้ายคอ ไหล่ หลังให้เจ็บมากพออยู่แล้ว แต่หลายคนก็ยังตอกย้ำความเจ็บปวดให้ทวีขึ้นไปอีกด้วยพฤติกรรมนั่งแชทติดที่ หรือแม้กระทั่งนอนแชทก็ส่งผลกระทบไปถึงหลังเราได้ไม่ต่างกัน เนื่องจากลักษณะของการนั่งแชทที่ไม่ถูกท่า (โดยเฉพาะคนนั่งแชทอยู่บนโต๊ะ) หรือแม้กระทั่งท่าที่ต้องถือสมาร์ทโฟนในระดับเดียวกับสายตาตลอด ไม่ว่าจะท่านั่งหรือนอนกระดูกสันหลังตั้งแต่ลำคอลงไปก็ต้องเกร็งเพราะไม่ได้อยู่ในท่าที่เหมาะควรเช่นกัน
และที่น่าตกใจไปกว่านั้น อาการปวดกระดูกสันหลังยังลุกลามไปเป็นโรคปวดหัวเรื้อรัง โรคเครียด อาการท้องผูก รวมถึงโรคหัวใจได้อีกด้วย
ส่วนวิธีเลี่ยงอาการปวดคอ หลัง ไหล่นี้แพทย์ก็แนะนำให้ยืนตรง (ท่าเหมือนเคารพธงชาติ) ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นท่าที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อเท่านั้นนะคะ แต่การยืนตัวตรงแหน่วยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซโรโทนิน สารสื่อประสาทสมองตัวสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบ สบายได้อีกต่างหาก


โรคชื่อไฮเทคนี้เกิดจากการใช้สายตาจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมนานเกินไป อาการจะเริ่มจากตาแห้ง ปวดกระบอกตา ตาพร่ามัว ปวดคอ บ่า และหลัง ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทั้งคนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมทั้งวัน และคนที่ติดสมาร์ทโฟนมากเกินไป
ทั้งนี้อาการคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรมอาจไม่ทรมานเรานานนัก เพียงแค่ละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมเหล่านี้สักชั่วโมงก็บรรเทาอาการได้ ทว่าถึงอย่างนั้นเมื่อเกิดโรคนี้กับเราแล้วก็ไม่หายได้ง่ายนักหรอกนะคะ มันเหมือนโรคที่มาแล้วจะอยู่กับเราอย่างเรื้อรังยังไงบอกไม่ถูก ฉะนั้นน่าจะดีกว่าหากเราจะป้องกันสายตาตัวเองให้ห่างไกลจากโรคนี้ โดยพยายามละสายตาจากหน้าจอทุก 20 นาที มองรอบ ๆ ตัวเล่นประมาณ 20 วินาที แล้วค่อยหันกลับมาลุยงานหรือแชทต่อก็ได้


แน่ะ ! กำลังแย้งในใจอยู่ใช่ไหมว่า ถ้าไม่แชทความสัมพันธ์อาจเปราะบางมากกว่า เพราะคนที่แชทอยู่ตลอดนี่ก็คนรักทั้งนั้นแหละ แต่อย่าลืมนะคะว่า ลำพังการอ่านตัวหนังสือและอีโมติคอนผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมไม่ได้ช่วยให้เราสื่อสารกันได้อย่างเต็มที่เลยสักนิด อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่เราไม่มีทางได้เห็น เผลอ ๆ บางทีข้อความที่ก้ำกึ่งระหว่างอารมณ์ประชดกับพูดจริงอาจกลายเป็นประเด็นให้คุณมีปากเสียงกันได้อีกต่างหาก ฉะนั้นขอยืนยันตรงนี้อีกทีชัด ๆ เลยว่า พูดจาแบบเห็นหน้าได้สบตากันยังไงก็เวิร์กกว่า


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโมนาชทำการวิจัยความสามารถในการพัฒนาสมองของวัยรุ่นกับพฤติกรรมการแชทและพบว่า กลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สมาร์ทโฟนมีแนวโน้มในการทำแบบทดสอบความจำและความเข้าใจได้คะแนนน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้สมาร์ทโฟน โดยนายแพทย์ไมเคิล อแบรมสัน ก็สันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะสมาร์ทโฟนช่วยให้ชีวิตง่ายและเร็วขึ้น จึงทำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ละเลยความใส่ใจและไม่เคยชินกับการใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่งใดมากนัก เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดบ่อย ๆ
นอกจากนี้ผลการศึกษาทางจิตวิทยาเมื่อปี 2009 ยังชี้ให้เห็นว่า วัยรุ่นที่ติดแชทขนาดหนัก (เฉลี่ยแล้วรับ-ส่งข้อความกันวันละ 82 ข้อความ) มีแนวโน้มเสี่ยงต่ออาการเครียด วิตกกังวล และสูญเสียศักยภาพทางการเรียนด้วย


สถาบันบำบัดโรคโดยวิธีการจับกระดูกสันหลังแห่งประเทศอังกฤษ (U.K. Chiropractic Association) เผยผลการศึกษาเมื่อปีที่แล้วว่า ลักษณะการนั่งผิดท่าระหว่างแชทอาจนำไปสู่การพลิกของกระดูกสันหลัง กระทบไปถึงอวัยวะข้างในของร่างกาย แถมยังขัดขวางระบบหายใจ และอาจนำไปสู่โรคกระดูกสันหลังคดงอเพิ่มอีกอย่าง หนำซ้ำยังจะหั่นเวลาชีวิตคุณให้สั้นจุ๊ดจู๋ยิ่งขึ้นไปอีกในกรณีที่คุณแชทข้างถนน (เสี่ยงถูกปล้น) หรือโชว์สกิลขั้นสูงอย่างแชทขณะขับรถ เป็นต้น
นักแชททั้งหลายได้รู้แบบนี้แล้วสะดุ้งกันบ้างไหมคะ ยังไงก็แชทให้น้อยลงสักหน่อยเพื่อสุขภาพที่ดีและความปลอดภัยของชีวิตดีกว่าเนอะ