x close

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558 เคลียร์ชัดอีกครั้งว่าจริงหรือมั่ว !?

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

          ข้อมูลเรื่องสุขภาพ ที่แชร์กันสนั่นโลกออนไลน์ มีทั้งเรื่องจริง เรื่องเฟค ว่าแต่เราจำกันได้บ้างไหม

          ข้อมูลข่าวสารในโลกไซเบอร์ที่หลั่งไหลมาเร็วเกินไป ก็ทำให้หลายคนกดไลค์ กดแชร์กันแบบไม่ยั้งคิด ทั้งที่บางเรื่องเป็นข้อมูลผิด ๆ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพที่มีข้อมูลประหลาด ๆ ปรากฏออกมามากมาย จนแพทย์หรือนักวิชาการหลายคนต้องออกมาชี้แจงแถลงไขความเข้าใจผิดกันเป็นรายวัน วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอรวบรวม 9 เรื่องจริงหรือมั่วเกี่ยวกับสุขภาพที่คนแชร์กันมากมายในรอบปี 2558 มาให้เคลียร์กันอีกครั้ง เรื่องไหนที่เราเคยเข้าใจผิดไป จะได้ปรับความเข้าใจเสียใหม่

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

สบู่เหลว วายร้ายก่อมะเร็ง ?

          เล่นเอาไม่กล้าใช้สบู่เหลวอาบน้ำกันเลยเมื่อเจอฟอร์เวิร์ดเมลเรื่องนี้ที่ระบุว่า การใช้สบู่เหลวอาจจะทำให้ตายเร็ว เพราะส่วนประกอบของมันเต็มไปด้วยสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ฟังแล้วน่าตกใจจริง ๆ แต่นักวิชาการเขายืนยันมาว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด ส่วนเหตุผลคืออะไร และทำไมข้อความนี้ถึงมั่ว คำตอบอยู่ที่นี่ค่ะ

          สบู่เหลว วายร้ายก่อมะเร็ง จริงหรือ ?

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

ดื่มน้ำเย็นอันตรายต่อร่างกาย ?

          อากาศร้อน ๆ ถ้าได้ดื่มน้ำเย็น ๆ คงชื่นใจดี แต่เอ๊ะ ! กลับมีคนแชร์กันถล่มทลายว่าไม่ควรดื่มน้ำเย็นเลย เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก ทำให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง หรือถ้าดื่มน้ำเย็นหลังอาหารจะทำให้ไขมันดูดซึมมากขึ้น ก่อให้เกิดโรคมะเร็งหรือโรคหลอดเลือดหัวใจได้ ฟังดูน่ากลัวขนาดนี้แต่ความจริงคือมั่ว ลองมาฟังคำอธิบายของเรื่องนี้จาก พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือคุณหมอผิง กันค่ะ

          รู้ให้ชัด ดื่มน้ำเย็นทำสุขภาพพังจริงหรือ !?
 
9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

กินไข่วันละ 6 ฟอง ไม่ต้องกลัวคอเลสเตอรอลพุ่ง ?

          มีข้อมูลที่อ้างว่าทางกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกการให้คอเลสเตอรอลเป็นหนึ่งในสารที่ควรระมัดระวังในการบริโภค เพราะวิจัยไม่พบว่าคอเลสเตอรอลในอาหารมีความสัมพันธ์กับคอเลสเตอรอลในเลือดที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง พร้อมแนะนำให้คนอายุไม่เกิน 50 ปี สามารถรับประทานไข่ถึงวันละ 6 ฟอง เรื่องนี้นักวิชาการจึงต้องออกมาเคลียร์ก่อนจะเข้าใจกันแบบผิด ๆ ว่าจริง ๆ แล้วข้อมูลจากรายงานของสหรัฐฯ นี้มีส่วนจริงอยู่บ้างที่บอกว่าไม่พบความสัมพันธ์กันระหว่างปริมาณคอเลสเตอรอลที่บริโภคเข้าไปกับปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่ทว่ารายงานก็ไม่ได้แนะนำให้ทานไข่วันละ 6 ฟอง และไม่ได้ตัด "คอเลสเตอรอล" ออกจากหนึ่งในสารที่ควรระมัดระวังในการบริโภค เอาเป็นว่ามาเคลียร์เรื่องนี้กันชัด ๆ

          กินไข่วันละ 6 ฟอง ไม่ต้องห่วงคอเลสเตอรอล ชัวร์หรือมั่ว !?

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

ไมโครเวฟ...ใช้มาก ๆ ก่อมะเร็ง ?

          เชื่อว่าเกือบทุกบ้านต้องมีไมโครเวฟ และเมื่ออ่านข้อความที่แชร์กันว่า ใช้ไมโครเวฟมาก ๆ จะทำให้เป็นมะเร็ง ก็อดหวั่นวิตกไปไม่ได้ แถมยังแชร์กันรัว ๆ จนไม่รู้จะเชื่อหรือไม่เชื่อดี เรื่องนี้เลยต้องถึงหูอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ขอยืนยันว่า ไมโครเวฟเป็นอุกรณ์ที่มีความปลอดภัยสูง เพราะประกอบด้วยวัสดุที่ป้องกันคลื่นรังสีที่อยู่ภายในไม่ให้ออกมาภายนอก จึงไม่ต้องกังวลไป และรังสีเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน

          พร้อมกันนี้ยังได้อธิบายด้วยว่าทำไมเวลาต้มไข่ในไมโครเวฟแล้วจึงเกิดระเบิด รวมทั้งหากต้มน้ำในไมโครเวฟนานเกินไปอาจเกิดปรากฏการณ์ Super Heat ได้ ตามไปอ่านคำอธิบายพร้อมเข้าใจถึงวิธีใช้ไมโครเวฟอย่างปลอดภัยกันค่ะ

          อันตรายจากไมโครเวฟ ก่อมะเร็งจริงหรือมั่ว ?

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

ผงชูรสอันตราย กินแล้วผมร่วง สมองเสื่อม ?

          เขา ว่ากันว่ากินผงชูรสมาก ๆ จะทำให้ผมร่วง ความจำแย่ สมองเสื่อม ปัญญาอ่อน เป็นหมัน ตาบอด ทำลายไขกระดูก ฯลฯ ฟังดูน่ากลัวขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังผลิตผงชูรสออกมาอีกล่ะ....นี่คงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แต่จริง ๆ แล้ว ผงชูรสไม่ได้อันตรายขนาดนั้นถ้าไม่ได้ทานเกินขนาด เช่น คนที่มีน้ำหนัก 60 กิโลกรัม จะได้รับอันตรายจากผงชูรสก็ต้องทานผงชูรสเกือบ ๆ 1 กิโลกรัมเลยทีเดียว ซึ่งเราคงไม่ได้ทานขนาดนั้นแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ต้องระวังเรื่องผงชูรสแท้และผงชูรสปลอมด้วยค่ะ เพราะถ้าไปทานผงชูรสปลอมที่ผสมบอแร็กซ์ นี่ล่ะที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของจริง ว่าแล้วก็มาทดสอบผงชูรสกันหน่อยดีกว่า

          ผงชูรส กินแล้วเสี่ยงตาย อันตรายจริงหรือ

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

ป่วยมะเร็งเพราะกินกะทิ-ผัดผักค้างคืน ?

          มีคนแชร์กันว่าองค์การอนามัยโลกรายงานว่าคนไทยป่วยมะเร็งเป็นอันดับ 1 ของเอเชียแล้ว สาเหตุเกิดจากกินเนื้อสัตว์ปิ้งย่าง, กินอาหารกะทิค้างคืน, กินกล้วยแขก ปาท่องโก๋ และขนมครก และกินผัดผักค้างคืนที่กินไม่หมด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอาข้อมูลมาจากไหน แต่อาจารย์เจษฎา ชี้แจงว่า มีเพียงข้อแรกที่กินเนื้อสัตว์ปิ้งย่างอาจทำให้ก่อมะเร็งได้เท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง ส่วนข้ออื่น ๆ นี่มั่วหมด ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไปกินอาหารค้างคืนได้ เพราะถึงไม่มีหลักฐานว่าก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ถ้ากินเข้าไปก็ท้องเสียได้เหมือนกัน

          เตือนคนไทยป่วยมะเร็งเพราะกินกะทิค้างคืน...แชร์แบบนี้ จริงหรือมั่ว ?

          กินอาหารค้างคืน มะเร็งถามหาจริงหรือ เรื่องแบบนี้ก่อนกินต้องรู้ !

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

จุ่มลวกช้อน-ส้อมในหม้อหุงข้าว มีแต่เพิ่มเชื้อโรค ?

          เวลาไปทานอาหารที่ฟู้ดคอร์ทตามห้างสรรพสินค้า เราก็จะเห็นหม้อหุงข้าวใบเล็ก ๆ ต้มน้ำร้อนไว้ให้เราหยิบช้อนลงไปจุ่ม ซึ่งเข้าใจกันว่าทำแล้วจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ แต่งานนี้ผิดเต็ม ๆ เพราะยิ่งจุ่มยิ่งเพิ่มเชื้อโรค ลงไปในช้อน-ส้อมต่างหาก ยกเว้นต้องจุ่มช้อนลงในน้ำเดือด 98 องศาเซลเซียสขึ้นไป และต้องใช้เวลานานกว่า 4 นาที จึงจะฆ่าเชื้อโรคได้จริง

          จุ่มลวกช้อน-ส้อมในหม้อหุงข้าว ไม่ช่วยอะไร แถมเพิ่มเชื้อโรค

          แห่แชร์ ความจริงเกี่ยวกับการลวกช้อนส้อม ชี้น้ำไม่ร้อนพอ-เพิ่มเชื้อโรค

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558

22 อาหารที่ห้ามกินคู่กัน เดี๋ยวโรคจะถามหา ?

          อาหารที่ห้ามกินคู่กันตามที่ฟอร์เวิร์ดเมลส่งต่อกันกระจายมานานหลายปีแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังมีคนส่งต่อกันอยู่ อย่างเช่นข้อมูลที่ระบุว่า...

          ห้ามทานกล้วยกับเผือก เดี๋ยวจะท้องอืด ?
          ห้ามทานผักปวยเล้งกับน้ำเต้าหู้ เดี๋ยวจะเป็นนิ่วที่ไขสันหลัง ?
          อย่ากินส้มกับมะนาวเดี๋ยวกระเพาะจะทะลุ ?
          กินเหล้าขาวกับเบียร์ จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก ?
          ห้ามแช่ขิงดองในตู้เย็น เดี๋ยวโรคมะเร็งจะถามหา ?
          ห้ามชงน้ำผึ้งด้วยน้ำร้อน เดี๋ยวจะเสียวิตามิน ?
          ห้ามกินทุเรียนกับน้ำอัดลม เพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้ ?

          ข้อมูลที่เขาบอกมานี้ บางข้อก็จริง บางข้อก็มั่ว ลองไปหาคำตอบในแต่ละข้อกันค่ะ 

           อาหาร 22 อย่างที่ห้ามกินคู่กัน สรุปอีกครั้ง ชัวร์หรือมั่วกันแน่

9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558
ภาพจาก healthyfoodteam.com

ใส่หัวหอมไว้ในถุงเท้าก่อนอน แก้หวัดได้จริงหรือ ?

          เรื่องการใส่หัวหอมในถุงเท้าก่อนนอนนั้นมีกระแสกันมาพักใหญ่แล้วในต่างประเทศ ซึ่งทางการแพทย์แผนจีนเชื่อกันว่าเท้ามีความสัมพันธ์เกี่ยวของอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย โดยจะเชื่อมต่อกันด้วยเส้นที่เรียกว่า เส้นเมอริเดียนของร่างกาย ซึ่งเส้นนี้จะคอยประสานการทำงานระหว่างอวัยวะให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสมดุลในร่างกายให้เป็นปกติ การใส่หัวหอมลงไปในถุงเท้าก็จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและล้างพิษในร่างกายได้อย่างมหัศจรรย์

          ส่วนในประเทศไทย ก็มีคุณหมอระบุว่า การใส่หัวหอมลงไปในถุงเท้าก่อนนอนเพื่อรักษาอาการหวัดนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถรักษาให้หายได้ในทันที เพียงแต่จะช่วยลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลได้ เนื่องจากหัวหอมมีฤทธิ์ร้อน ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของร่างกาย อย่างไรก็ตาม บทความในต่างประเทศไม่ได้บอกให้นำหัวหอมใหญ่มาแปะบริเวณฝ่าเท้า เพียงแต่แนะนำให้ฝานหรือทุบแล้วใส่ลงในถุงเท้าห้อยไว้ที่หัวเตียงเท่านั้นเอง

          ใส่หัวหอมไว้ในถุงเท้าก่อนนอน ช่วยแก้หวัด ดีต่อสุขภาพจริงหรือ ?

          สรุปได้ว่าข้อความที่แชร์กันส่วนมากเป็นเรื่องโกหก แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นเรื่องจริง ดังนั้นเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารมาก็ฝากให้พิจารณาด้วยเหตุผลกันสักนิดก่อนจะกดแชร์ต่อ เพราะจะยิ่งเป็นการกระพือข่าวลือให้คนเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ซึ่งบางเรื่องนั้นก็ก่อให้เกิดอันตรายได้เหมือนกัน
 



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
9 เรื่องสุขภาพที่คนแชร์สนั่นปี 2558 เคลียร์ชัดอีกครั้งว่าจริงหรือมั่ว !? อัปเดตล่าสุด 18 ตุลาคม 2560 เวลา 15:39:37 4,834 อ่าน
TOP