โรคที่มากับน้ำท่วม
ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง
1. น้ำกัดเท้า
โรคน้ำกัดเท้า เกิดจากการที่เท้าสัมผัสน้ำสกปรกเป็นเวลานาน ทำให้ผิวหนังเปื่อยจนเชื้อโรคต่าง ๆ ซึมเข้าได้ง่าย ทั้งเชื้อราและแบคทีเรีย รวมทั้งการใส่รองเท้าที่อับชื้นหรือล้างเท้าไม่สะอาดหลังลุยน้ำท่วม ส่งผลให้เกิดการอักเสบ คัน แสบ และลุกลามได้หากไม่รีบรักษา
อาการโรคน้ำกัดเท้า
-
คัน แสบ หรือระคายเคืองบริเวณเท้า
-
ผิวหนังลอก เปื่อย มือแตกระแหง หรือเป็นขุย
-
แดง บวม หรือเจ็บขณะเดิน
-
ในรายอักเสบมากอาจมีตุ่มน้ำ หนอง หรือน้ำเหลืองไหล
-
หากติดเชื้อแบคทีเรีย ผื่นที่เท้าจะบวมแดง ร้อน มีหนอง ปวด กดเจ็บ อาจมีไข้ร่วมด้วย
-
หากติดเชื้อรา ผิวหนังจะมีขุยขาวเปียก ลอกเป็นวง ๆ มีกลิ่นเหม็น และมีอาการคัน อาจมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ ขึ้นด้วย
วิธีรักษาน้ำกัดเท้า
ล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้า จากนั้นทายารักษาตามอาการ ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจว่าติดเชื้อราหรือติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยหรือไม่ ควรไปพบแพทย์ก่อน เพราะจะไม่สามารถใช้ยาสเตียรอยด์ทาได้
วิธีป้องกันน้ำกัดเท้า
สิ่งสำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรก ด้วยการสวมรองเท้าบูทยางกันน้ำทุกครั้งที่จำเป็นต้องลุยน้ำ ห้ามเดินเท้าเปล่าเด็ดขาด และเมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที จากนั้นเช็ดเท้าให้แห้งสนิท โดยเน้นซอกนิ้วเท้าเป็นพิเศษ และใช้แป้งฝุ่นช่วยดูดซับความชื้น
วิธีรักษาน้ำกัดเท้าให้หายไว ใช้ยาอะไร พร้อมแจกสูตรสมุนไพรรักษาน้ำกัดเท้า
2. โรคผิวหนังอักเสบ
นอกจากน้ำกัดเท้าแล้ว ในช่วงน้ำท่วม ผิวหนังยังเสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อจากการสัมผัสน้ำสกปรกหรือดินโคลน โดยเฉพาะผู้ที่มีแผลเล็ก ๆ อยู่แล้ว แผลเหล่านี้อาจติดเชื้อและลุกลามรุนแรงได้ง่าย
อาการของโรคผิวหนังอักเสบ
-
ผิวมีอาการแดง คัน ลอก หรือเจ็บเล็กน้อย
-
หากติดเชื้อราจะมีอาการคัน ผิวลอก เป็นขุย หรือมีวงกลมแดง
-
หากติดเชื้อแบคทีเรียจะมีอาการบวม แดง กดเจ็บ ขยายวงกว้าง หรือมีหนองเกิดขึ้นได้
วิธีรักษาโรคผิวหนังอักเสบ
โดยทั่วไปโรคผิวหนังช่วงน้ำท่วมมักเกิดจากความชื้นและน้ำสกปรก การรักษาคือทำความสะอาดผิวให้แห้ง ทายาเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย และหลีกเลี่ยงน้ำสกปรก ส่วนคนที่มีแผลลุกลามควรพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกันโรคผิวหนังอักเสบ
ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่มีบาดแผล แม้จะเป็นเพียงรอยแผลเล็กน้อย เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ หากมีแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำเพื่อป้องกันเชื้อโรคแทรกซ้อน แต่ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำ ให้รีบล้างทำความสะอาดผิวหนังทันทีด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน ๆ จากนั้นเช็ดร่างกายและซอกพับทุกส่วนให้แห้งสนิท โดยเน้นย้ำที่ซอกนิ้วเท้า ข้อพับ และขาหนีบเป็นพิเศษ และต้องไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นซ้ำเพื่อป้องกันการอับชื้นและการสะสมของเชื้อโรค
3. โรคตาแดง
โรคตาแดง เป็นอาการอักเสบของเยื่อบุตาขาวที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝุ่น น้ำสกปรก น้ำท่วม หรือคนอยู่ใกล้ชิดกันมาก โรคนี้ติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัส น้ำตา ขี้ตา หรือใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว และเครื่องสำอาง
อาการของโรคตาแดง
-
ตาแดง หรือตาเป็นเลือดฝาด
-
คันตา แสบตา ระคายเคือง
-
น้ำตาไหลมาก
-
ขี้ตาเหนียว สีขาว เหลือง หากมีสีเขียวมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
-
หนังตาบวม
-
ลืมตาไม่เต็มเพราะเจ็บหรือแสบ
วิธีรักษาโรคตาแดง
ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด ควรประคบตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ หรือหยอดน้ำตาเทียมเพื่อลดการระคายเคืองได้ แต่หากตาแดงเพราะติดเชื้อแบคทีเรียควรพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะมาหยอดตาฆ่าเชื้อ
วิธีป้องกันโรคตาแดง
พยายามล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนสัมผัสดวงตาหรือใบหน้า ห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาด และควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือเครื่องสำอาง นอกจากนี้ ควรงดการเล่นน้ำหรือแช่น้ำท่วมขัง และหากมีคนในครอบครัวเป็นตาแดง ควรแยกของใช้ส่วนตัวและระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
4. โรคฉี่หนู
โรคฉี่หนู หรือ Leptospirosis เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยในช่วงน้ำท่วม โดยเชื้อจะมากับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อและปะปนอยู่ในน้ำหรือดินชื้น คนที่ต้องลุยน้ำ แช่น้ำ หรือมีแผลตามร่างกายจะเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้โรคนี้เป็นหนึ่งในโรคสำคัญที่ต้องระวังในช่วงที่มีน้ำท่วมขังยาวนาน
อาการของโรคฉี่หนู
-
มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะมาก
-
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะน่อง โคนขา หลัง และหน้าท้อง
-
ตาแดง ปวดเบ้าตา
-
ต่อมน้ำเหลืองโต
-
มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง บางรายมีผื่นตามตัว
-
หากเป็นมากจะมีอาการม่านตาอักเสบ จอตาอักเสบ น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ มีอาการเหลือง (ดีซ่าน) และรุนแรงถึงขั้นเพ้อ ไม่รู้สึกตัว หายใจลำบาก กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อวัยวะภายในล้มเหลวหลายระบบถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย
วิธีรักษาโรคฉี่หนู
ควรให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเพนิซิลลิน หรือดอกซีไซคลิน โดยเร็วที่สุดหลังจากมีอาการ และรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน แต่ถ้ามีอาการรุนแรง แพทย์จะให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และฉีดยาปฏิชีวนะเข้ากระแสเลือดโดยตรง ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอยู่ประมาณร้อยละ 5-15 ที่ติดเชื้อรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้
วิธีป้องกันโรคฉี่หนู
ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำท่วมขังหรือดินโคลนโดยตรง เพื่อป้องกันโรคฉี่หนู แต่หากจำเป็นต้องลุยน้ำให้สวมรองเท้าบูทยางยาวกันน้ำ และในกรณีที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยขีดข่วนบนผิวหนังต้องปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำก่อนสวมบูท เพื่อป้องกันเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ทันทีที่ขึ้นจากน้ำให้รีบล้างมือและเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ แล้วเช็ดให้แห้งสนิททันที
5. อุจจาระร่วง/อหิวาตกโรค
อุจจาระร่วง และอหิวาตกโรค เป็นโรคติดเชื้อทางเดินอาหารที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็วผ่านน้ำดื่ม อาหาร หรือสิ่งปนเปื้อนจากมือผู้ป่วยสู่ผู้อื่น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง
อาการของอุจจาระร่วงและอหิวาตกโรค
-
ท้องเสียรุนแรงและถ่ายเป็นน้ำเหมือนน้ำซาวข้าว หรือมีมูกเลือดปน แต่มีเนื้ออุจจาระน้อย มีกลิ่นเหม็นคาว บางรายอาจปวดท้อง
-
อาจมีคลื่นไส้ อาเจียนหลายครั้ง
-
กระหายน้ำมากและปากแห้ง
-
ผิวหนังเหี่ยวย่น ใบหน้าและมือเท้าเย็น
-
ในรายรุนแรงอาจเกิดภาวะช็อกจากการขาดน้ำ และเสียชีวิตได้
วิธีรักษาอุจจาระร่วงและอหิวาตกโรค
ต้องให้สารละลายน้ำเกลือ ORS ทันทีเพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป ในรายที่รุนแรงและติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยลดระยะของโรคให้สั้นลง ลดการสูญเสียน้ำ ตลอดจนลดระยะของการแพร่เชื้อลง
วิธีป้องกันอุจจาระร่วงและอหิวาตกโรค
ยึดหลัก "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และร้อนจัด และดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มจนเดือด หรือน้ำบรรจุขวดที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่ายหรือสัมผัสสิ่งสกปรก นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำท่วมขังในการประกอบอาหารหรือแปรงฟัน เพื่อป้องกันการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
6. ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย
แม้ไทฟอยด์ไม่ใช่โรคน้ำท่วมโดยตรง แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมยังส่งผลให้ระบบน้ำสะอาดและสุขาภิบาลเสียหาย ทำให้เชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา ไทฟี (Salmonella typhi) ที่อยู่ในอุจจาระของผู้ป่วยปนเปื้อนน้ำหรืออาหาร และติดต่อสู่คนอื่นได้ง่าย
อาการของโรคไทฟอยด์
-
มีไข้สูงลอย 38-40 องศาเซลเซียส
-
หนาวสั่น ปวดศีรษะ
-
ปวดเมื่อยตามตัว
-
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
-
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
-
ท้องอืด แน่นท้อง
-
อาจมีอาการท้องผูก หรือถ่ายอุจจาระเหลว จนถึงอุจจาระร่วงได้
-
ลิ้นเป็นฝ้า
-
บางรายมีผื่นสีชมพูจางบนลำตัว
-
ปวดหลัง
-
ชีพจรเต้นช้า
-
ซึม
-
หากมีภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้เกิดลำไส้ทะลุ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นฝีในสมอง ปอดบวม หรือช็อกจนถึงแก่ชีวิตได้
วิธีรักษาโรคไทฟอยด์
รับประทานยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์ รวมทั้งชดเชยน้ำและเกลือแร่ ในผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียนหรือท้องเสียรุนแรง แต่หากมีภาวะแทรกซ้อนต้องรักษาในโรงพยาบาลทันที
วิธีป้องกันโรคไทฟอยด์
เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในระบบทางดินอาหาร ควรบริโภคเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกใหม่และร้อนจัดเท่านั้น รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว และใช้หลักการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร ก่อนเตรียมอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
7. โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
ในสภาวะที่มีน้ำขัง มีความชื้นสูง และสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด หรือความแออัดในศูนย์พักพิงสามารถทำให้เชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสแพร่กระจายได้ง่าย นำไปสู่โรคระบบทางเดินหายใจต่าง ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
อาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
-
ไข้หวัด : มีอาการเป็นไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะ
-
ไข้หวัดใหญ่ : ไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ
-
ปอดบวม : มีไข้ อ่อนเพลีย ไอมาก แน่นหน้าอก หอบ เหนื่อยง่าย หายใจลำบากมีเสียงหวีด
-
ติดเชื้อราทางเดินหายใจ : ไอเรื้อรัง มีเสมหะ ปวดคอ แน่นหน้าอก หรือหายใจไม่สะดวก อาจเป็นมากขึ้นเมื่อออกแรงหรือทำกิจกรรม อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด
วิธีรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
-
ให้ยารักษาตามอาการที่เป็น เช่น ยาลดไข้ หรือยาปฏิชีวนะ (กรณีเป็นปอดบวมหรือติดเชื้อแบคทีเรีย) หรือยาต้านเชื้อรา (กรณีติดเชื้อราทางเดินหายใจ))
-
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
-
ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ
-
รักษาความอบอุ่นของร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วม
-
สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่ที่มีฝุ่นหรือเชื้อโรคเยอะ
-
ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
วิธีป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
ในช่วงน้ำท่วม สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความแออัดในศูนย์พักพิงชั่วคราวอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบ ดังนั้น วิธีป้องกันที่สำคัญคือการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด โดยการล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัดหรือเมื่อต้องดูแลผู้ป่วย และเมื่อไอหรือจามควรใช้กระดาษทิชชูหรือข้อศอกปิดปากและจมูกทันที นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิ กับผู้ที่มีอาการป่วย เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคในพื้นที่จำกัด
8. โรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ
การติดเชื้อบริเวณขาหนีบและอวัยวะเพศที่พบได้บ่อยในช่วงน้ำท่วม คือ โรคสังคัง และการติดเชื้อราในช่องคลอด โดยภาวะเหล่านี้มักเกิดขึ้นจากความอับชื้นสะสม และการสัมผัสกับสิ่งสกปรกอันเป็นผลมาจากการต้องเดินลุยน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
อาการของโรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ
-
สังคัง : มีผื่นแดง หรือผื่นวงแหวน มีขอบเขตชัดเจนที่บริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ หรือก้น ร่วมกับอาการคัน
-
การติดเชื้อราในช่องคลอด : มีอาการคันอย่างรุนแรงบริเวณปากช่องคลอดและในช่องคลอด รู้สึกแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะปัสสาวะ หรือขณะมีเพศสัมพันธ์ ร่วมกับมีตกขาวปริมาณมาก มีลักษณะคล้ายแป้งเปียก คล้ายนมบูด หรือคล้ายคอทเทจชีส มีสีขาวขุ่น
วิธีรักษาโรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ
-
สังคัง : ล้างบริเวณที่ติดเชื้อด้วยสบู่อ่อน ๆ และน้ำสะอาด แล้วเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหรือหลังมีเหงื่อออก จากนั้นใช้ยาฆ่าเชื้อราชนิดครีมทาบริเวณที่เป็นผื่นและขอบผื่น อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ หรือทาต่อไปอีก 1 สัปดาห์หลังจากผื่นหายสนิท เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
-
การติดเชื้อราในช่องคลอด : ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับยาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้ยาเหน็บหรือยาสอดช่องคลอด รวมกับยาทาภายนอก เช่น ยาฆ่าเชื้อรชนิดครีม แต่ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเด็ดขาด
วิธีป้องกันโรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ
ควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำหรือการสัมผัสกับน้ำท่วมขังโดยตรง แต่หากจำเป็นต้องลุยน้ำให้สวมรองเท้าบูทยางทุกครั้ง และทันทีที่ขึ้นจากน้ำท่วม ต้อง เช็ดบริเวณขาหนีบและซอกพับให้แห้งสนิททันที จากนั้นใช้แป้งฝุ่นช่วยดูดซับความชื้น ที่สำคัญคือ ห้ามสวมใส่เสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่เปียกหรืออับชื้นซ้ำ ควรเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน โดยเลือกวัสดุที่เป็นผ้าฝ้ายเพื่อช่วยระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วมขัง โดยเด็ดขาด เนื่องจากในช่วงนี้ปากมดลูกจะเปิดกว้างกว่าปกติ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นมาก หากมีความจำเป็นต้องลุยน้ำ ควรเลือกใช้ผ้าอนามัยแบบสอด หรือถ้าใช้แบบแผ่นต้องเปลี่ยนทันทีหลังขึ้นจากน้ำ พร้อมทั้งทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุดชั้นในและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
9. ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งแพร่โดยยุงลาย โดยเฉพาะช่วงน้ำท่วมและน้ำขัง หลังน้ำลดถือเป็นสภาวะที่ยุงแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว ทำให้ความเสี่ยงของไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ไข้เลือดออกส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะรุนแรงจนเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
อาการของโรคไข้เลือดออก
-
ไข้สูงลอย 39-40 องศาเซลเซียส
-
หน้าแดง
-
ปวดศีรษะ
-
ปวดกระบอกตา
-
ปวดข้อและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
-
มีจุดเลือดออกตามตัว
-
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
-
ในรายรุนแรงอาจเกิด เลือดออกตามไรฟัน ผื่นช้ำ หรือมีเลือดออกในอวัยวะ
-
หากมีอาการช็อกหรือเลือดออกมากต้องรีบพบแพทย์ทันที
วิธีรักษาโรคไข้เลือดออก
รักษาตามอาการโดยพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ ให้สารละลายเกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ร่วมกับกินยาลดไข้อย่างพาราเซตามอล (ห้ามใช้แอสไพรินเด็ดขาด) หมั่นเฝ้าสังเกตอาการรุนแรง ถ้ามีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก
กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามภาชนะต่าง ๆ รวมทั้งป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยการทายากันยุง และนอนในมุ้งทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะในพื้นที่พักพิงชั่วคราว
10. โรคเครียด
น้ำท่วมไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สิน แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตให้กับผู้ที่ประสบภัยโดยตรง หากไม่ได้รับการดูแลอาจลุกลามเป็นโรคเครียดรุนแรงหรือภาวะซึมเศร้าได้
อาการของโรคเครียด
-
วิตกกังวล ซึมเศร้า
-
อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
-
นอนไม่หลับ
-
ปวดหัว
-
ปวดกล้ามเนื้อ
-
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
-
เบื่ออาหาร หรือรับประทานแล้วท้องอืด อาหารไม่ย่อย
-
มีปัญหาในการทำงานหรือเรียน
-
คิดซ้ำเรื่องเหตุการณ์น้ำท่วม หวาดระแวง หรือกลัวซ้ำเหตุการณ์
วิธีดูแลแลจิตใจเมื่อเกิดความเครียด
-
ตั้งสติมองทุกปัญหาว่ามีทางแก้ไข และจัดการปัญหาทีละขั้นทีละตอน ไม่จมไปกับปัญหาที่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้
-
พยายามค้นหาแหล่งสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง ได้แก่ ความผูกพันกับครอบครัว ความศรัทธาทางศาสนา
-
ฝึกหายใจคลายเครียด โดยหายใจเข้า-ออกช้า ๆ 2-3 นาที เพื่อทำให้ออกซิเจนเข้าสู่สมองแล้วความเครียดจะลดลง
-
พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย วันละ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้มีการตัดสินใจที่ดีขึ้น
-
บริหารร่างกายด้วยการยืดเหยียดในท่าที่ผ่อนคลายจะช่วยให้การนอนหลับได้ดีขึ้น
-
หมั่นพูดคุยกับคนรอบข้าง เพื่อระบายความรู้สึกที่อัดแน่นในใจ ไม่เก็บปัญหาไว้คนเดียว
-
แบ่งเวลาทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ สร้างความสงบให้จิตใจ
-
จำกัดการรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับภัยพิบัติมากเกินไปเพื่อไม่ให้เกิดความวิตกกังวลสะสม
-
หลีกเลี่ยงการใช้สุราหรือสารเสพติดในการจัดการความเครียดความทุกข์ใจ
-
หากเกิดความเครียดรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิต ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต






