10 โรคที่มากับน้ำท่วม อาการแบบไหนต้องระวัง พร้อมวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น

         โรคที่มากับน้ำท่วม มีอะไรบ้าง ใครกำลังเผชิญกับอุทกภัยน้ำท่วมภาคใต้ อยู่ในตอนนี้ ต้องเช็กอาการให้รู้ทัน เพื่อป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยก่อนเจ็บป่วยจากโรคเหล่านี้
น้ำท่วมหาดใหญ่

          เมื่อเกิดน้ำท่วม สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ความเสียหายต่อบ้านเรือนหรือความลำบากในการเดินทาง แต่ยังรวมถึงโรคจากน้ำท่วม ที่มากับน้ำสกปรก ความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ต้องลุยน้ำเป็นประจำหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำขังยาวนาน วันนี้เราได้รวบรวมสัญญาณเตือนของโรค ที่พบได้บ่อยในช่วงน้ำท่วม พร้อมวิธีรักษา รวมถึงแนวทางการป้องกันมาแนะนำ

 โรคที่มากับน้ำท่วม 
ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง

1. น้ำกัดเท้า

น้ำกัดเท้า

           โรคน้ำกัดเท้า เกิดจากการที่เท้าสัมผัสน้ำสกปรกเป็นเวลานาน ทำให้ผิวหนังเปื่อยจนเชื้อโรคต่าง ๆ ซึมเข้าได้ง่าย ทั้งเชื้อราและแบคทีเรีย รวมทั้งการใส่รองเท้าที่อับชื้นหรือล้างเท้าไม่สะอาดหลังลุยน้ำท่วม ส่งผลให้เกิดการอักเสบ คัน แสบ และลุกลามได้หากไม่รีบรักษา

อาการโรคน้ำกัดเท้า 

  • คัน แสบ หรือระคายเคืองบริเวณเท้า

  • ผิวหนังลอก เปื่อย มือแตกระแหง หรือเป็นขุย

  • แดง บวม หรือเจ็บขณะเดิน

  • ในรายอักเสบมากอาจมีตุ่มน้ำ หนอง หรือน้ำเหลืองไหล

  • หากติดเชื้อแบคทีเรีย ผื่นที่เท้าจะบวมแดง ร้อน มีหนอง ปวด กดเจ็บ อาจมีไข้ร่วมด้วย

  • หากติดเชื้อรา ผิวหนังจะมีขุยขาวเปียก ลอกเป็นวง ๆ มีกลิ่นเหม็น และมีอาการคัน อาจมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ ขึ้นด้วย

วิธีรักษาน้ำกัดเท้า

          ล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้า จากนั้นทายารักษาตามอาการ ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจว่าติดเชื้อราหรือติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยหรือไม่ ควรไปพบแพทย์ก่อน เพราะจะไม่สามารถใช้ยาสเตียรอยด์ทาได้ 

วิธีป้องกันน้ำกัดเท้า

          สิ่งสำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรก ด้วยการสวมรองเท้าบูทยางกันน้ำทุกครั้งที่จำเป็นต้องลุยน้ำ ห้ามเดินเท้าเปล่าเด็ดขาด และเมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที จากนั้นเช็ดเท้าให้แห้งสนิท โดยเน้นซอกนิ้วเท้าเป็นพิเศษ และใช้แป้งฝุ่นช่วยดูดซับความชื้น  
 

วิธีรักษาน้ำกัดเท้าให้หายไว ใช้ยาอะไร พร้อมแจกสูตรสมุนไพรรักษาน้ำกัดเท้า

2. โรคผิวหนังอักเสบ

โรคผิวหนังอักเสบ

          นอกจากน้ำกัดเท้าแล้ว ในช่วงน้ำท่วม ผิวหนังยังเสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อจากการสัมผัสน้ำสกปรกหรือดินโคลน โดยเฉพาะผู้ที่มีแผลเล็ก ๆ อยู่แล้ว แผลเหล่านี้อาจติดเชื้อและลุกลามรุนแรงได้ง่าย

อาการของโรคผิวหนังอักเสบ

  • ผิวมีอาการแดง คัน ลอก หรือเจ็บเล็กน้อย

  • หากติดเชื้อราจะมีอาการคัน ผิวลอก เป็นขุย หรือมีวงกลมแดง

  • หากติดเชื้อแบคทีเรียจะมีอาการบวม แดง กดเจ็บ ขยายวงกว้าง หรือมีหนองเกิดขึ้นได้

วิธีรักษาโรคผิวหนังอักเสบ

          โดยทั่วไปโรคผิวหนังช่วงน้ำท่วมมักเกิดจากความชื้นและน้ำสกปรก การรักษาคือทำความสะอาดผิวให้แห้ง ทายาเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย และหลีกเลี่ยงน้ำสกปรก ส่วนคนที่มีแผลลุกลามควรพบแพทย์ทันที

วิธีป้องกันโรคผิวหนังอักเสบ

          ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่มีบาดแผล แม้จะเป็นเพียงรอยแผลเล็กน้อย เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ หากมีแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำเพื่อป้องกันเชื้อโรคแทรกซ้อน แต่ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำ ให้รีบล้างทำความสะอาดผิวหนังทันทีด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน ๆ จากนั้นเช็ดร่างกายและซอกพับทุกส่วนให้แห้งสนิท โดยเน้นย้ำที่ซอกนิ้วเท้า ข้อพับ และขาหนีบเป็นพิเศษ และต้องไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นซ้ำเพื่อป้องกันการอับชื้นและการสะสมของเชื้อโรค

3. โรคตาแดง

ตาแดง

          โรคตาแดง เป็นอาการอักเสบของเยื่อบุตาขาวที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝุ่น น้ำสกปรก น้ำท่วม หรือคนอยู่ใกล้ชิดกันมาก โรคนี้ติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัส น้ำตา ขี้ตา หรือใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว และเครื่องสำอาง

อาการของโรคตาแดง

  • ตาแดง หรือตาเป็นเลือดฝาด

  • คันตา แสบตา ระคายเคือง

  • น้ำตาไหลมาก

  • ขี้ตาเหนียว สีขาว เหลือง หากมีสีเขียวมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

  • หนังตาบวม

  • ลืมตาไม่เต็มเพราะเจ็บหรือแสบ

วิธีรักษาโรคตาแดง

          ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด ควรประคบตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ หรือหยอดน้ำตาเทียมเพื่อลดการระคายเคืองได้ แต่หากตาแดงเพราะติดเชื้อแบคทีเรียควรพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะมาหยอดตาฆ่าเชื้อ

วิธีป้องกันโรคตาแดง

          พยายามล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนสัมผัสดวงตาหรือใบหน้า ห้ามขยี้ตาโดยเด็ดขาด และควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือเครื่องสำอาง นอกจากนี้ ควรงดการเล่นน้ำหรือแช่น้ำท่วมขัง และหากมีคนในครอบครัวเป็นตาแดง ควรแยกของใช้ส่วนตัวและระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
 

โรคตาแดง วิธีรักษาโรคตาแดง ต้องทำอย่างไร

4. โรคฉี่หนู

โรคฉี่หนู

          โรคฉี่หนู หรือ Leptospirosis เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยในช่วงน้ำท่วม โดยเชื้อจะมากับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อและปะปนอยู่ในน้ำหรือดินชื้น คนที่ต้องลุยน้ำ แช่น้ำ หรือมีแผลตามร่างกายจะเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้โรคนี้เป็นหนึ่งในโรคสำคัญที่ต้องระวังในช่วงที่มีน้ำท่วมขังยาวนาน

อาการของโรคฉี่หนู

  • มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะมาก 

  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะน่อง โคนขา หลัง และหน้าท้อง

  • ตาแดง ปวดเบ้าตา  

  • ต่อมน้ำเหลืองโต 

  • มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง บางรายมีผื่นตามตัว

  • หากเป็นมากจะมีอาการม่านตาอักเสบ จอตาอักเสบ น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ มีอาการเหลือง (ดีซ่าน) และรุนแรงถึงขั้นเพ้อ ไม่รู้สึกตัว หายใจลำบาก กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อวัยวะภายในล้มเหลวหลายระบบถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย 

วิธีรักษาโรคฉี่หนู

          ควรให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาเพนิซิลลิน หรือดอกซีไซคลิน โดยเร็วที่สุดหลังจากมีอาการ และรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน แต่ถ้ามีอาการรุนแรง แพทย์จะให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล และฉีดยาปฏิชีวนะเข้ากระแสเลือดโดยตรง ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอยู่ประมาณร้อยละ 5-15 ที่ติดเชื้อรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้

วิธีป้องกันโรคฉี่หนู

          ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำท่วมขังหรือดินโคลนโดยตรง เพื่อป้องกันโรคฉี่หนู แต่หากจำเป็นต้องลุยน้ำให้สวมรองเท้าบูทยางยาวกันน้ำ และในกรณีที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยขีดข่วนบนผิวหนังต้องปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำก่อนสวมบูท เพื่อป้องกันเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ทันทีที่ขึ้นจากน้ำให้รีบล้างมือและเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ แล้วเช็ดให้แห้งสนิททันที 
 

โรคฉี่หนู โรคร้ายที่มาในช่วงฝนตกและน้ำท่วมขัง

5. อุจจาระร่วง/อหิวาตกโรค

อุจจาระร่วง

          อุจจาระร่วง และอหิวาตกโรค เป็นโรคติดเชื้อทางเดินอาหารที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็วผ่านน้ำดื่ม อาหาร หรือสิ่งปนเปื้อนจากมือผู้ป่วยสู่ผู้อื่น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง

อาการของอุจจาระร่วงและอหิวาตกโรค

  • ท้องเสียรุนแรงและถ่ายเป็นน้ำเหมือนน้ำซาวข้าว หรือมีมูกเลือดปน แต่มีเนื้ออุจจาระน้อย มีกลิ่นเหม็นคาว บางรายอาจปวดท้อง

  • อาจมีคลื่นไส้ อาเจียนหลายครั้ง

  • กระหายน้ำมากและปากแห้ง

  • ผิวหนังเหี่ยวย่น ใบหน้าและมือเท้าเย็น

  • ในรายรุนแรงอาจเกิดภาวะช็อกจากการขาดน้ำ และเสียชีวิตได้

วิธีรักษาอุจจาระร่วงและอหิวาตกโรค

          ต้องให้สารละลายน้ำเกลือ ORS ทันทีเพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป ในรายที่รุนแรงและติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยลดระยะของโรคให้สั้นลง ลดการสูญเสียน้ำ ตลอดจนลดระยะของการแพร่เชื้อลง 

วิธีป้องกันอุจจาระร่วงและอหิวาตกโรค

          ยึดหลัก "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่และร้อนจัด และดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มจนเดือด หรือน้ำบรรจุขวดที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนเตรียมอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่ายหรือสัมผัสสิ่งสกปรก นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำท่วมขังในการประกอบอาหารหรือแปรงฟัน เพื่อป้องกันการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
 

อหิวาตกโรค โรคระบาดที่ยังอันตราย ชะล่าใจอาจเสียชีวิต

6. ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย

ไทฟอยด์

          แม้ไทฟอยด์ไม่ใช่โรคน้ำท่วมโดยตรง แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมยังส่งผลให้ระบบน้ำสะอาดและสุขาภิบาลเสียหาย ทำให้เชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา ไทฟี (Salmonella typhi) ที่อยู่ในอุจจาระของผู้ป่วยปนเปื้อนน้ำหรืออาหาร และติดต่อสู่คนอื่นได้ง่าย

อาการของโรคไทฟอยด์

  • มีไข้สูงลอย 38-40 องศาเซลเซียส

  • หนาวสั่น ปวดศีรษะ

  • ปวดเมื่อยตามตัว

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน

  • ท้องอืด แน่นท้อง

  • อาจมีอาการท้องผูก หรือถ่ายอุจจาระเหลว จนถึงอุจจาระร่วงได้

  • ลิ้นเป็นฝ้า 

  • บางรายมีผื่นสีชมพูจางบนลำตัว

  • ปวดหลัง

  • ชีพจรเต้นช้า

  • ซึม

  • หากมีภาวะแทรกซ้อนอาจทำให้เกิดลำไส้ทะลุ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นฝีในสมอง ปอดบวม หรือช็อกจนถึงแก่ชีวิตได้

วิธีรักษาโรคไทฟอยด์

          รับประทานยาปฏิชีวนะตามคำสั่งแพทย์ รวมทั้งชดเชยน้ำและเกลือแร่ ในผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียนหรือท้องเสียรุนแรง แต่หากมีภาวะแทรกซ้อนต้องรักษาในโรงพยาบาลทันที

วิธีป้องกันโรคไทฟอยด์

          เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในระบบทางดินอาหาร ควรบริโภคเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกใหม่และร้อนจัดเท่านั้น รวมทั้งดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว และใช้หลักการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร ก่อนเตรียมอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ 
 

รู้จัก ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย โรคจากการกินอาหารปนเปื้อน

7. โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

โรคทางเดินหายใจ

          ในสภาวะที่มีน้ำขัง มีความชื้นสูง และสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด หรือความแออัดในศูนย์พักพิงสามารถทำให้เชื้อโรค แบคทีเรีย และไวรัสแพร่กระจายได้ง่าย นำไปสู่โรคระบบทางเดินหายใจต่าง ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง

อาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

  • ไข้หวัด : มีอาการเป็นไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะ 

  • ไข้หวัดใหญ่ : ไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ 

  • ปอดบวม : มีไข้ อ่อนเพลีย ไอมาก แน่นหน้าอก หอบ เหนื่อยง่าย หายใจลำบากมีเสียงหวีด

  • ติดเชื้อราทางเดินหายใจ : ไอเรื้อรัง มีเสมหะ ปวดคอ แน่นหน้าอก หรือหายใจไม่สะดวก อาจเป็นมากขึ้นเมื่อออกแรงหรือทำกิจกรรม อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด

วิธีรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

  • ให้ยารักษาตามอาการที่เป็น เช่น ยาลดไข้ หรือยาปฏิชีวนะ (กรณีเป็นปอดบวมหรือติดเชื้อแบคทีเรีย) หรือยาต้านเชื้อรา (กรณีติดเชื้อราทางเดินหายใจ))

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

  • ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ 

  • รักษาความอบอุ่นของร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วม

  • สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่ที่มีฝุ่นหรือเชื้อโรคเยอะ

  • ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า

วิธีป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ

          ในช่วงน้ำท่วม สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและความแออัดในศูนย์พักพิงชั่วคราวอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบ ดังนั้น วิธีป้องกันที่สำคัญคือการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด โดยการล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัดหรือเมื่อต้องดูแลผู้ป่วย และเมื่อไอหรือจามควรใช้กระดาษทิชชูหรือข้อศอกปิดปากและจมูกทันที นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิ กับผู้ที่มีอาการป่วย เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคในพื้นที่จำกัด

8. โรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ

โรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ

          การติดเชื้อบริเวณขาหนีบและอวัยวะเพศที่พบได้บ่อยในช่วงน้ำท่วม คือ โรคสังคัง และการติดเชื้อราในช่องคลอด โดยภาวะเหล่านี้มักเกิดขึ้นจากความอับชื้นสะสม และการสัมผัสกับสิ่งสกปรกอันเป็นผลมาจากการต้องเดินลุยน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน

อาการของโรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ

  • สังคัง : มีผื่นแดง หรือผื่นวงแหวน มีขอบเขตชัดเจนที่บริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ หรือก้น ร่วมกับอาการคัน

  • การติดเชื้อราในช่องคลอด : มีอาการคันอย่างรุนแรงบริเวณปากช่องคลอดและในช่องคลอด รู้สึกแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะปัสสาวะ หรือขณะมีเพศสัมพันธ์ ร่วมกับมีตกขาวปริมาณมาก มีลักษณะคล้ายแป้งเปียก คล้ายนมบูด หรือคล้ายคอทเทจชีส มีสีขาวขุ่น

วิธีรักษาโรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ

  • สังคัง : ล้างบริเวณที่ติดเชื้อด้วยสบู่อ่อน ๆ และน้ำสะอาด แล้วเช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหรือหลังมีเหงื่อออก จากนั้นใช้ยาฆ่าเชื้อราชนิดครีมทาบริเวณที่เป็นผื่นและขอบผื่น อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ หรือทาต่อไปอีก 1 สัปดาห์หลังจากผื่นหายสนิท เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ  

  • การติดเชื้อราในช่องคลอด : ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับยาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้ยาเหน็บหรือยาสอดช่องคลอด รวมกับยาทาภายนอก เช่น ยาฆ่าเชื้อรชนิดครีม แต่ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะเด็ดขาด

วิธีป้องกันโรคติดเชื้อบริเวณขาหนีบ

          ควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำหรือการสัมผัสกับน้ำท่วมขังโดยตรง แต่หากจำเป็นต้องลุยน้ำให้สวมรองเท้าบูทยางทุกครั้ง และทันทีที่ขึ้นจากน้ำท่วม ต้อง เช็ดบริเวณขาหนีบและซอกพับให้แห้งสนิททันที จากนั้นใช้แป้งฝุ่นช่วยดูดซับความชื้น ที่สำคัญคือ ห้ามสวมใส่เสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่เปียกหรืออับชื้นซ้ำ ควรเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน โดยเลือกวัสดุที่เป็นผ้าฝ้ายเพื่อช่วยระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น

          สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำท่วมขัง โดยเด็ดขาด เนื่องจากในช่วงนี้ปากมดลูกจะเปิดกว้างกว่าปกติ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นมาก หากมีความจำเป็นต้องลุยน้ำ ควรเลือกใช้ผ้าอนามัยแบบสอด หรือถ้าใช้แบบแผ่นต้องเปลี่ยนทันทีหลังขึ้นจากน้ำ พร้อมทั้งทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนชุดชั้นในและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

9. ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก

          ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งแพร่โดยยุงลาย โดยเฉพาะช่วงน้ำท่วมและน้ำขัง หลังน้ำลดถือเป็นสภาวะที่ยุงแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว ทำให้ความเสี่ยงของไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ไข้เลือดออกส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะรุนแรงจนเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

อาการของโรคไข้เลือดออก

  • ไข้สูงลอย 39-40 องศาเซลเซียส 

  • หน้าแดง 

  • ปวดศีรษะ 

  • ปวดกระบอกตา

  • ปวดข้อและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

  • มีจุดเลือดออกตามตัว

  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร

  • ในรายรุนแรงอาจเกิด เลือดออกตามไรฟัน ผื่นช้ำ หรือมีเลือดออกในอวัยวะ

  • หากมีอาการช็อกหรือเลือดออกมากต้องรีบพบแพทย์ทันที

วิธีรักษาโรคไข้เลือดออก

          รักษาตามอาการโดยพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ ให้สารละลายเกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ร่วมกับกินยาลดไข้อย่างพาราเซตามอล (ห้ามใช้แอสไพรินเด็ดขาด) หมั่นเฝ้าสังเกตอาการรุนแรง ถ้ามีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที 

วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก

          กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามภาชนะต่าง ๆ รวมทั้งป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยการทายากันยุง และนอนในมุ้งทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะในพื้นที่พักพิงชั่วคราว
 

ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต !

10. โรคเครียด

โรคเครียด

          น้ำท่วมไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สิน แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตให้กับผู้ที่ประสบภัยโดยตรง  หากไม่ได้รับการดูแลอาจลุกลามเป็นโรคเครียดรุนแรงหรือภาวะซึมเศร้าได้

อาการของโรคเครียด

  • วิตกกังวล ซึมเศร้า 

  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย

  • นอนไม่หลับ 

  • ปวดหัว 

  • ปวดกล้ามเนื้อ

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

  • เบื่ออาหาร หรือรับประทานแล้วท้องอืด อาหารไม่ย่อย

  • มีปัญหาในการทำงานหรือเรียน

  • คิดซ้ำเรื่องเหตุการณ์น้ำท่วม หวาดระแวง หรือกลัวซ้ำเหตุการณ์

วิธีดูแลแลจิตใจเมื่อเกิดความเครียด

  • ตั้งสติมองทุกปัญหาว่ามีทางแก้ไข และจัดการปัญหาทีละขั้นทีละตอน ไม่จมไปกับปัญหาที่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้

  • พยายามค้นหาแหล่งสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง ได้แก่ ความผูกพันกับครอบครัว ความศรัทธาทางศาสนา

  • ฝึกหายใจคลายเครียด โดยหายใจเข้า-ออกช้า ๆ 2-3 นาที เพื่อทำให้ออกซิเจนเข้าสู่สมองแล้วความเครียดจะลดลง

  • พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย วันละ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้มีการตัดสินใจที่ดีขึ้น

  • บริหารร่างกายด้วยการยืดเหยียดในท่าที่ผ่อนคลายจะช่วยให้การนอนหลับได้ดีขึ้น

  • หมั่นพูดคุยกับคนรอบข้าง เพื่อระบายความรู้สึกที่อัดแน่นในใจ ไม่เก็บปัญหาไว้คนเดียว

  • แบ่งเวลาทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ สร้างความสงบให้จิตใจ

  • จำกัดการรับฟังข่าวสารเกี่ยวกับภัยพิบัติมากเกินไปเพื่อไม่ให้เกิดความวิตกกังวลสะสม

  • หลีกเลี่ยงการใช้สุราหรือสารเสพติดในการจัดการความเครียดความทุกข์ใจ

  • หากเกิดความเครียดรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิต ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
     

10 วิธีดูแลจิตใจผู้ประสบภัยช่วงน้ำท่วม

          เมื่อเกิดน้ำท่วม สิ่งที่เราต้องเฝ้าระวังไม่ใช่เพียงความเสียหายทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากน้ำสกปรก ความชื้น และสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย การดูแลตัวเองให้ถูกวิธีด้วยการสังเกตอาการผิดปกติ และรีบพบแพทย์หากเริ่มมีสัญญาณอันตราย คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย

บทความที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วม

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 โรคที่มากับน้ำท่วม อาการแบบไหนต้องระวัง พร้อมวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น โพสต์เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2568 เวลา 17:45:22
TOP
x close