มะเร็งตับ ถึงไม่ดื่มเหล้าก็เป็นได้

           มะเร็งตับ โรคมะเร็งตัวร้ายที่แม้จะไม่ดื่มเหล้าก็เป็นได้ เพราะยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้คนป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ
 


           มะเร็งตับ ยังคงเป็นโรคมะเร็งที่คนไทยป่วยกันมากเป็นอันดับต้น ๆ เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็น มารู้อีกทีก็ต่อเมื่อมะเร็งตับได้ลุกลามจนรักษาได้ยากแล้ว ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ หากตรวจพบมะเร็งตับในระยะแพร่กระจาย ผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ไม่เกิน 6 เดือน !!!
 
มะเร็งตับ
          

มะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากอะไร ?

 


          1. ส่วนใหญ่ของการเกิดมะเร็งตับ มีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบีและซี จากข้อมูลสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียงกันว่า 80% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า (ข้อมูลจากหนังสือความรู้เรื่องโรคตับสำหรับประชาชน)


          2. มีข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า ประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะมีตับแข็งร่วมด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าท่านป่วยเป็นพาหะตับอักเสบบี และมีตับแข็งแล้ว ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับจะสูงมาก ๆ ทีเดียว


          3. มะเร็งตับยังมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่า ผู้ที่ดื่มสุรา แอลกอฮอล์เป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

          4. สารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ก็เป็นสารก่อมะเร็ง ที่เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ จากการศึกษาพบว่า อะฟลาทอกซินมีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็งตับ และอะฟลาทอกซินเป็นตัวเสริม เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงถั่วลิสง โดยเฉพาะถั่วลิสงป่นที่ค้างนาน ๆ ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว และเต้าหู้ยี้

ใครเสี่ยงมะเร็งตับ ?


          - ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบี ซี หรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี ซี เรื้อรัง
          - ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพตับ เช่น มีภาวะตับแข็ง ไขมันพอกตับ
          - ผู้ดื่มสุราเป็นประจำ
          - ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดซึ่งเสี่ยงต่อโรคตับ
          - ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
          - ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีเชื้ออะฟลาทอกซิน เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง

จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็นมะเร็งตับ ? 


          สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับมีอัตราการอยู่รอดต่ำก็คือ มะเร็งตับในระยะแรกซึ่งจะสามารถรักษาให้หายขาดได้นั้น มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมา โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลุมเครือ เช่น เสียดท้องด้านขวา มีอาการจุกแน่นในบางครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งนี้ ก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก คนเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับประมาณ 30% ดังนั้น เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลาม หรือมีขนาดใหญ่และไม่สามารถจะรักษาได้แล้ว

อาการของผู้ป่วยมะเร็งตับ


          ที่ชัดเจนก็คือ รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอาการที่เด่นชัดก็คือ ปวดชายโครงด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวา และอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต และบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง


              มะเร็งตับ

การตรวจหามะเร็งตับ ทำได้อย่างไร ?


          เนื่องจากมะเร็งตับเปรียบเหมือนมฤตยูเงียบ การเฝ้าระวังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการที่จะเป็นมะเร็งตับ คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี ขึ้นไปและมีอาการตับแข็งร่วมด้วย ควรจะต้องตรวจร่างกายอย่างน้อยทุก 6 เดือน

          การตรวจหามะเร็งตับในปัจจุบัน จะมีการตรวจหาระดับของสารอัลฟาฟuโตโปรตีน (Alpha -fetoprotein) ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผู้ป่วยมะเร็งตับ แต่การตรวจหาค่าอัลฟาฟีโตโปรตีนอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากมีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 30% การตรวจจึงควรจะร่วมกับการทำอัลตราซาวด์ เพื่อตรวจหาก้อนมะเร็งที่มีขนาดเล็ก ๆ ได้ ถ้าจะให้ละเอียดมากกว่านี้ก็คือ การตรวจโดยใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า CT Scan ซึ่งจะสามารถเห็นมะเร็งที่มีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตรได้

มีวิธีรักษามะเร็งตับอย่างไรบ้าง ?


          มะเร็งตับ ดูเป็นโรคที่มีความน่ากลัว เพราะผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ก็เพราะเมื่อตรวจพบมะเร็งก็มีขนาดใหญ่มากแล้ว อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบในระยะแรก ๆ ก็มีวิธีที่จะรักษาให้หายขาดได้ เช่น

          1. การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก โดยมีเงื่อนไขว่าก้อนมะเร็งนั้นมีขนาด 2-3 เซนติเมตร เป็นมะเร็งก้อนเดียว มีเปลือกห่อหุ้ม และอยู่ภายในตับกลีบเดียว วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน แต่หากก้อนมะเร็งมีขนาด 10 เซนติเมตรขึ้นไปจะรักษาให้หายขาดได้ยาก

          2. Transcatheter Oily Chemoembolization หรือ TOCE ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกได้ เนื่องจากมีขนาดใหญ่เกินไป วิธีรักษาแบบ TOCE นี้มักจะกระทำโดยรังสีแพทย์ โดยการสอดสายขนาดเล็กเข้าไปทางเส้นเลือดแดงตับ เพื่อเข้าไปถึงก้อนมะเร็งโดยตรงเพื่อใส่ยาเคมีเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง พร้อมทั้งอุดเส้นเลือดหลักที่เข้าไปเลี้ยงก้อนมะเร็งด้วยในเวลาเดียวกัน วิธีการรักษาแบบนี้ก็ได้ผลอยู่บ้างแต่ไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้ โดยส่วนใหญ่มะเร็งจะกลับโตขึ้นมาได้อีก หรืออาจแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้ เช่น ปอดหรือกระดูก ในทางการแพทย์การรักษาโดยวิธีนี้จึงเป็นการรักษาเพื่อยืดเวลา ในบางกรณีเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงและไม่กระจายไปที่อื่นอาจจะผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกเลยก็ได้

          3. การใช้คลื่นเสียง RFA (Radiofrequency Ablation) เป็นการฉีดแอลกอฮอล์โดยตรงที่ก้อนมะเร็ง เป็นวิธีการทำลายก้อนมะเร็งด้วยการใช้เข็มแบบพิเศษ (RF needle) ขนาดเท่ากับไส้ปากกาลูกลื่น ความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร แทงผ่านผิวหนังเข้าไปในก้อนมะเร็งเป้าหมาย โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจากเครื่อง ทำให้เกิดคลื่นความถี่สูงประมาณ 375-500 KHz จะทำให้โมเลกุลของเนื้อเยื่อรอบ ๆ เข็มสั่นสะเทือนและเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (Friction heat) ซึ่งจะแผ่กระจายออกไปรอบๆ จนครอบคลุมก้อนมะเร็งทั้งก้อน จากการศึกษาพบว่าความร้อนที่มากกว่า 50 องศาเซลเซียส สามารถทำให้เซลล์ตายได้ ก้อนมะเร็งที่ได้รับการรักษาจะเปรียบเสมือนเนื้อย่าง ซึ่งในต่างประเทศใช้วิธีการรักษามะเร็งตับ RFA นี้กันมานานประมาณ 12 ปีแล้ว ส่วนในประเทศไทยเริ่มใช้กันมาประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้เอง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาเหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาแบบประทังทั้งสิ้น

          4. การเปลี่ยนตับ ปัจจุบันแพทย์ไทยก็สามารถปลูกถ่ายตับได้ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งมักมีข้อจำกัดมากมาย ทำให้การเปลี่ยนถ่ายตับมักไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษา

          5. การฉายรังสี วิธีการนี้ไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตับที่ดี มักมีผลเสียจากการฉายรังสี

มะเร็งตับ ป้องกันได้...


          1. แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแก่เด็กทุกราย รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนถึงวิธีการติดต่อของไวรัสตับอักเสบบี และซี

          2. ลดสารอะฟลาทอกซิน โดยการเน้นการเก็บอาหารให้แห้งเพื่อลดปริมาณอะฟลาทอกซิน

          3. ลด ละ เลิกการดื่มสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่

          4. ไม่รับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ปลาดิบ ก้อยปลา เพราะอาจจะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ หรืออาหารที่หมัก เช่น ปลาร้า ปลาเจ่า แหนม ฯลฯ รวมทั้งอาหารที่มีดินประสิว เพราะมีสารไนโตรซามีน ซึ่งทำให้เป็นโรคมะเร็งตับได้ ควรรับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกใหม่ ๆ

          5. ไม่รับประทานอาหารที่มีเชื้อรา ระมัดระวังอาหารที่ตากแห้ง รวมทั้งอาหารที่เตรียมแล้วเก็บค้างคืน เพราะอาจมีเชื้อราปะปนอยู่

          6. ไม่รับประทานอาหารซ้ำ ๆ หรืออาหารที่ใส่สารกันบูด

          7. รับประทานผัก-ผลไม้สดเป็นประจำ

          8. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

          9. ถ้ามีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์


บทความที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งตับ และโรคตับ

          - 10 สัญญาณเตือนโรคมะเร็งตับ เช็กสุขภาพให้รู้ก่อนสายเกินแก้



 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
มะเร็งตับ ถึงไม่ดื่มเหล้าก็เป็นได้ อัปเดตล่าสุด 30 มีนาคม 2566 เวลา 11:36:29 87,047 อ่าน
TOP
x close