ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เป็นยารักษาโควิด 19 ในปัจจุบัน แล้วจริง ๆ คือยาอะไรกันแน่ พร้อมตอบข้อสงสัยทำไมใช้กับบางเคสเท่านั้น ไม่ได้ให้ผู้ป่วยโควิดทุกคน
ยาฟาวิพิราเวียร์ คือยาอะไร
ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) คือ ยาต้านไวรัสที่ค้นพบโดยบริษัทโตยามะเคมิคอล (Toyama Chemical Co., Ltd) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับอนุมัติให้ใช้ในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2557 โดยยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) มีชื่ออื่นว่า T-705 และมีชื่อทางการค้าอีกชื่อว่า Avigan
เดิมทียาฟาวิพิราเวียร์ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล และยังมีการใช้ยาตัวนี้ต้านไวรัสอีโบลาเมื่อครั้งที่เกิดการระบาดหนักในแถบแอฟริกาตะวันตก ช่วงปี พ.ศ. 2557-2559 เนื่องจากยาฟาวิพิราเวียร์มีฤทธิ์ต้านไวรัสในกลุ่มอาร์เอ็นเอไวรัส (RNA virus) ได้หลากหลายชนิด เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus), ไวรัสโรคปากและเท้าเปื่อย (Foot-and-mouth disease virus) หรือไวรัสไข้เหลือง (Yellow fever virus) รวมไปถึงโคโรนาไวรัสที่ก่อโรคโควิด 19 ด้วย
การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ตามคำแนะนำของกรมการแพทย์ ฉบับปรับปรุง วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 จะพิจารณาจากเกณฑ์ผู้ป่วยโควิด 19 ดังต่อไปนี้
1. ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายดี
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง
2. ผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง
อาจพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โดยเริ่มให้ยาเร็วที่สุด แต่หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย อาจไม่จำเป็นต้องให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เพราะผู้ป่วยจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน กรณีผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 18 ปี แพทย์จะดูแลรักษาตามอาการ และอาจพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ 5 วัน
3. ผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง (ยังไม่ต้องให้ออกซิเจน)
คนที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง หรือมีปัจจัยเสี่ยง 1 ข้อ แพทย์จะพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับอาการ โดยเริ่มยาเร็วที่สุดภายใน 5 วัน หลังจากมีอาการ แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 1 ข้อ หรือเป็นผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ เช่น หญิงตั้งครรภ์ แพทย์จะพิจารณาให้ยาชนิดอื่นแทน
4. ผู้ติดเชื้อยืนยันที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง ไม่เกิน 10 วัน หลังจากมีอาการ และได้รับออกซิเจน
ในผู้ป่วยผู้ใหญ่จะพิจารณาให้ยาเรมดิซิเวียร์ แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี และมีอาการหายใจเร็ว หรือมีอาการรุนแรงอื่น ๆ แพทย์จะให้ยาฟาวิพิราเวียร์ 5-10 วัน หรือหากเป็นมากจะให้ยาเรมดิซิเวียร์
ทั้งนี้ หากตั้งครรภ์จะไม่ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยกลุ่มไหนก็ตาม เนื่องจากมีผลวิจัยว่าการใช้ยาชนิดนี้อาจกระทบต่อทารกในครรภ์ ยกเว้นหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 และ 3 ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าจะได้ประโยชน์จากการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์มากกว่าความเสี่ยง จึงอาจพิจารณาให้ใช้ยานี้ โดยตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
- อายุมากกว่า 60 ปี
- เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมทั้งโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ
- โรคไตเรื้อรัง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคหัวใจแต่กำเนิด
- โรคหลอดเลือดสมอง
- เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI ≥30 กก./ตร.ม.)
- ตับแข็ง
- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เป็นโรคที่อยู่ในระหว่างได้รับยาเคมีบําบัด หรือยากดภูมิ หรือ corticosteroid equivalent to prednisolone 15 มก./วัน 15 วันขึ้นไป, ผู้ติดเชื้อ HIV ที่มี CD4 cell count 200 เซลล์/ลบ.มม. ลงมา)
- ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มี CD4 cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
* ผู้ป่วยผู้ใหญ่
- วันต่อมา จะลดเหลือขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 4 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (ทุก 12 ชั่วโมง)
โดยต้องกินต่อเนื่องนาน 5 วัน เท่ากับจะได้รับยารวม 50 เม็ด/คน แต่แพทย์อาจพิจารณาให้กินยานานกว่า 5 วัน ขึ้นอยู่กับอาการทางคลินิก
* ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม
- วันต่อมา จะลดเหลือขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 5 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (ทุก 12 ชั่วโมง)
โดยต้องกินต่อเนื่องนาน 5 วัน หรือมากกว่านั้นตามอาการทางคลินิกและดุลยพินิจของแพทย์
* ผู้ป่วยเด็ก
ในวันแรกจะได้ยาฟาวิพิราเวียร์ 70 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน วันละ 2 ครั้ง วันต่อมาจะลดเหลือ 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน วันละ 2 ครั้ง กินต่อเนื่อง 5 วัน หรือมากกว่านั้น
เหตุผลที่ไม่สามารถให้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ป่วยทุกคนได้ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนทางวิชาการเพียงพอว่าการให้ยาเร็วตั้งแต่ยังไม่มีอาการจะมีประโยชน์อย่างไร เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะหายจากโรคได้เองโดยไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส แต่การให้ยาในวงกว้างอาจเกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วย เช่น มีอาการตับอักเสบ หรือเกิดเชื้อดื้อยาได้ในภายหลัง
ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ต้องเข้าเกณฑ์การประเมินของแพทย์ คือ มีปริมาณไวรัสในร่างกายมากกว่าผู้อื่นและเสี่ยงต่อการลุกลามของโรค รวมทั้งคนที่มีความเสี่ยงว่าจะมีโรครุนแรงหรือเป็นปอดอักเสบ แต่อาจพิจารณาให้ยาได้ในกรณีผู้ป่วยไม่มีอาการแต่มีโรคร่วม และ/หรือปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ผลข้างเคียงที่พบได้เมื่อใช้ยาฟาวิพิราเวียร์คือ
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน
- อาจมีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติเมื่อรับประทานร่วมกับยาบางชนิด
- มีผลต่อการทำงานของตับ จึงไม่ควรรับประทานร่วมกับฟ้าทะลายโจร หรือยาที่มีผลต่อตับ
- หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ โดยการรับประทานยาในช่วงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์มีความพิการ
- ไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อ เกินความจำเป็น โดยเฉพาะในคนที่ไม่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยาต้านไวรัส อาจเกิดภาวะเชื้อดื้อยา ทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลงได้
ในรายงานทางการแพทย์ของต่างประเทศและในไทย พบผู้ป่วยบางรายที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการตาเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงหรือน้ำเงิน ซึ่งแพทย์อธิบายว่า ยาฟาวิพิราเวียร์มีคุณสมบัติเรืองแสง และการสะสมของตัวยาในร่างกายผู้ป่วยโควิดอาจมีผลให้กระจกตา เล็บ และผิวหนัง เปลี่ยนสีและเรืองแสงได้ แต่ไม่ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานผิดปกติไป ไม่มีผลกระทบกับการมองเห็นใด ๆ ไม่เป็นอันตราย และสีตาที่เปลี่ยนไปจะสามารถหายได้เองเมื่อหยุดยาฟาวิพิราเวียร์ประมาณ 14 วัน ส่วนเล็บหรือผิวหนังที่เปลี่ยนสีไปอาจต้องใช้เวลาสักระยะ แต่ในที่สุดก็จะหายเป็นปกติดี
ทั้งนี้ อาการตา เล็บ ผิวหนังเปลี่ยนสี ยังเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น และเป็นผลข้างเคียงใหม่ที่ทางการแพทย์เพิ่งพบได้ไม่นาน ดังนั้นจำเป็นต้องมีการศึกษากันต่อไป
เมื่อครั้งที่โควิด 19 ระบาดใหม่ ๆ ไทยต้องสั่งซื้อยาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศญี่ปุ่น และประเทศจีน มารักษาผู้ป่วยโควิด ซึ่งการนำเข้ายาจากต่างประเทศก็มีราคาสูง เม็ดละราว ๆ 120 บาท (ขึ้นอยู่กับค่าเงิน) และมีจำนวนจำกัด ทางองค์การเภสัชกรรมจึงมีแผนจะผลิตยาชนิดนี้เอง โดยหลังจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้มีคำสั่งปฏิเสธคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรฟาวิพิราเวียร์ของบริษัทญี่ปุ่นไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 องค์การเภสัชกรรมจึงเริ่มวิจัย พัฒนา และผลิตยาเอง กระทั่งในที่สุดก็มีข่าวดีว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้ขึ้นทะเบียนยาฟาวิพิราเวียร์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ที่ไทยผลิต ใช้ชื่อว่า "ฟาเวียร์" มีขนาด 200 มิลลิกรัม/เม็ด เป็นผลิตภัณฑ์ยาสามัญรายแรกของประเทศไทย มีคุณภาพมาตรฐานสากล จากข้อมูลวันที่ 25 มีนาคม 2565 พบว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ กระจายในภูมิภาครวม 10 ล้านเม็ด และอยู่ในกรุงเทพฯ 2-3 ล้านเม็ด
ทั้งนี้ ราคายาฟาวิพิราเวียร์จากองค์การเภสัชกรรมก็จะมีราคาถูกลงกว่ายาที่นำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญเมื่อเราผลิตยาเองได้ก็จะมียาต้านไวรัสไว้ใช้อย่างทั่วถึงด้วยค่ะ
ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นยาที่ใช้เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น เนื่องจากแพทย์ต้องพิจารณาปริมาณยาที่จะให้ผู้ป่วย โดยดูจากระดับอาการ น้ำหนักตัว หรือโรคประจำตัว เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินจำเป็นและเกิดปัญหาไวรัสดื้อยา ดังนั้น ยาฟาวิพิราเวียร์จึงไม่มีวางขายตามร้านขายยาหรือท้องตลาดทั่วไป เราไม่สามารถหาซื้อมากินเองได้นะคะ อย่าหลงเชื่อสั่งซื้อยาทางออนไลน์มากินเองเด็ดขาด เพราะเป็นของปลอมแน่นอน
แต่หากเป็นผู้ป่วยโควิดที่ทำ Home Isolation และลงทะเบียนผ่าน 1330 กด 14 ไว้แล้ว เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะพิจารณาจ่ายยาฟ้าทะลายโจรหรือยาฟาวิพิราเวียร์ให้ตามระดับอาการ
ตำรับยาสำหรับเด็ก-ผู้สูงอายุ
นอกจากยาฟาวิพิราเวียร์ชนิดเม็ดที่องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ผลิตแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท เมดิกา อินโนวา จำกัด ได้เปิดตัวตำรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ ที่พัฒนาและคิดค้นสูตรขึ้นมาเพื่อนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก ผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยที่มีความลำบากในการกลืนยาเม็ด
โดยตำรับยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นยาน้ำเชื่อมปราศจากน้ำตาล ลักษณะเป็นยาน้ำใส สีส้ม รสราสป์เบอร์รี มี 2 ขนาด คือ ขนาด 800 มิลลิกรัม ในน้ำเชื่อม 60 มิลลิลิตร และขนาด 1,800 มิลลิกรัม ในน้ำเชื่อม 135 มิลลิลิตร
วิธีรับประทานยาน้ำเชื่อมฟาวิพิราเวียร์
* ผู้ป่วยผู้ใหญ่
- วันแรก รับประทานขนาด 1,800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง (ทุก 12 ชั่วโมง)
- วันต่อมา รับประทานขนาด 800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง (ทุก 12 ชั่วโมง)
* ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัม
- วันแรก รับประทานขนาด 2,400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง (ทุก 12 ชั่วโมง)
- วันต่อมา รับประทานขนาด 1,000 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง (ทุก 12 ชั่วโมง)
* ผู้ป่วยเด็ก
- วันแรก รับประทานขนาด 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
- วันต่อมา รับประทานขนาด 20 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
บทความที่เกี่ยวกับการรักษาโควิด 19
- ยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ความหวังรักษาโควิด 19 ที่โลกรอคอย
- รู้จักยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ยารักษาโควิด 19 จาก Pfizer ที่ อย.สหรัฐฯ อนุมัติใช้แล้ว
- อาการโควิดลงปอดเป็นยังไง พร้อมวิธีเช็กเบื้องต้น สัญญาณไหนต้องรีบรักษา
- โควิดหายเองได้ไหม ดูแลตัวเองยังไงเมื่อติดเชื้อ
- โกฐจุฬาลัมพา สมุนไพรยับยั้งโควิด 19 สรรพคุณดีอย่างไร รักษาโรคอะไรได้บ้าง
- วิธีกินฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด 19 ควรใช้อย่างไร ต้องกินวันละเท่าไร
- กระชายขาว ต้านโควิด 19 ได้จริงไหม พร้อมสรรพคุณที่น่าสนใจ
- ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว กินคู่กันได้ไหม ไขข้อสงสัยเรื่องสมุนไพรรักษาโควิด
- เปิดรายชื่อ ยาฟ้าทะลายโจร สำหรับรักษาอาการเบื้องต้น โควิด 19 มียี่ห้อไหน ใช้ขนาดเท่าไหร่ เช็กที่นี่
- 12 ยาสมุนไพรดูแลตัวเองในเบื้องต้น เมื่อติดโควิดแล้วต้องรักษาตัวที่บ้าน Home isolation
- 13 สมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน ควรมีติดบ้านในช่วงโควิด 19
*หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 15 กรกฎาคม 2565
ขอบคุณภาพจาก : องค์การเภสัชกรรม, กรมการแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
กรมการแพทย์ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8
ช่อง one 31
Thai PBS
เพจศูนย์ข้อมูล COVID-19
bbc
เฟซบุ๊ก Drama-addict
assets.researchsquare.com
TNN
กรุงเทพธุรกิจ
คมชัดลึก
องค์การเภสัชกรรม